วันอังคารที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ชีอะฮฺเอากุรอ่านทำเพลง


นี่คือสิ่งที่ชีอะฮฺได้ทำกับอัลกุรอ่าน อยากถามชีอะฮว่าแบบนี้ไม่เรียกว่ากุฟุรหรือ...?
หรือว่ามีอุลามะอฺตัวดีบ้างไหมที่ออกมากล่าวว่า การทำกับอัลกุรอ่านแบบนี้เป็นสิ่งที่ทำให้ห่างไกลอิสลามอย่างชัดเจน
......ปากบอกว่าตามท่านอาลีกันนักกันหนา ท่านอลีที่ไหนล่ะทำแบบนี้????
เราขอให้ชีอะฮฺได้รับทางนำ แต่ถ้าไม่ ก็ขอบอกว่า.....
.............ขอประณามกับพวกที่ล้อเลียนหรือเอากุรอ่านมาทำเป็นเพลง ขอให้อัลลอฮฺสาปแช่งท่าน ให้ความพินาศจงประสบแด่ท่าน...........................


คลิปหลุดระบำเกย์ของผู้รู้รอฟิเฎาะฮฺ!!!!!


หลุดจนเป็นที่แตกตื่นวิพากษ์วิจารณ์กันไปทั่ว เมื่อรัฐอิหร่านที่เคยประกาศตัวเองว่าเป็น "รัฐอิสลาม" ได้เกิดมีคลิประบำเกย์หลุดออกมา ซึ่งระบำเกย์ดังกล่าวนี้กระทำขึ้นในศาสนสถานแห่งหนึ่งในอิหร่าน ภายใต้การดูแลของอุลามาอ์รอฟิเฎาะฮฺ ซึ่งท่านสามารถรับชมคลิประบำเกย์ดังกล่าวได้เลย



1) คลิปวิดิโอนี่ ไม่ได้ถ่ายที่มัสยิดหรอกครับ แต่ถ่ายในสถานที่ ๆ เลวร้ายกว่านั้น คลิปนี้ถ่ายที่หลุมฝังศพจำลองของอะบูลุลุอะห์ ซึ่งเป็นฆาตกรสังหารคอลีฟะห์อุมัร (ร) พวกชีอะห์จะมาเฉลิมฉลองกันที่นี่ทุกปีในวันที่ 7 รอบีอุลเอาวัล ดู http://www.siamic.com/islam/index.php?t ... B%E0%B8%BA ก่อนที่จะถูกปิด ไม่ให้คนเข้ามาเยี่ยมเยียนอีกต่อไป (เพราะโลกอิสลามต่อต้านอิหร่านอย่างรุนแรง หลังจากมีคลิปนี้ออกมา) สุสานจำลองที่ชาวชีอะห์ไปเคารพสักการะนี่ อยู่ในกาชาน จังหวัดอิศฟาฮาน อิหร่าน

2) นี่เป็นการเต้นรำและร้องเพลงสรรเสริญอะบูลุลุอะห์ ที่เป็นพระเอกของชาวอิหร่าน เพราะสามารถลอบฆ่าบุคคลที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งในอิสลามได้ เห็นชัด ๆ เลยว่าพวกนี้เกลียดอิสลามที่แท้จริงมากแค่ไหน





วันจันทร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ความงมงายในตัวผู้รู้ของชีอะฮฺรอฟิเฎาะฮฺ

อุ
ลามาอ์ในวิดีโอนี้ชื่อว่า ชัยคฺอัลมุฮาญิร อุลามาอ์คนสำคัญของชีอะฮฺในยุคปัจจุบัน กรุณาดูความงมงายของชาวชีอะฮฺตาดำๆที่กระหายแสวงหาในบารอกัตจากตัวของผู้รู้ของเขา

มุฮัมมัดคอตามีย์ อุลามาอ์ชีอะฮฺกับการแตะตัวสตรี



ท่านอิบนุตัยมียะฮฺด่าว่าท่านหญิงฟาติมะฮฺจริงหรือ

 
รอฟิเฎาะฮฺในเวปมุสลิมไทยนามว่า Down with america(หรือที่แอบอ้างใช้ชื่อ amin lorna ในกระดานเสวนาของเวปมุสลิมไทย) เขียนไว้ว่า
อุลามาซุนนีที่บอกว่า อิบนุตัยมียะฮ์ประณาม ฟาฏีมะฮ์(อ)

มุฮัมมัดซะกียุดดีน อิบรอฮีมอุลามาผู้ยิ่งใหญ่แห่ง อัลอัซฮัรเมื่อมาถึงตรงคำพูดนี้ของอิบนุ ตัยมียะฮ์ก็ได้กล่าวว่า

“อิบนุตัยมียะฮ์คือผู้ที่ในหัวใจมีความจงเกลียดจงชังต่อ อะฮ์ลุลบัยต์วงศ์วานของศาสดา และได้ทำการลบหลู่ต่อท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(อ)ถึงขั้นกล่าวว่านางนั้นคือ มุนาฟิก??? อัลอะยาซุบิลลาฮ์ ”

و مع ان ابن تيمية انحرافات شتي فلعل من اوقحها هذا الانحراف اللئيم.

อิบนุตัยมียะฮ์นั้นมีข้อตำหนิผิดพลาดมากมาย และสิ่งที่ผิดพลาดที่สุดก็คือการลบหลู่ท่านหญิงฟาฏีมะฮ์(อ)

กะลิมะฮ์ อัล รออิด เล่ม2 หน้า546

کلمه الرائد، ج2، ص546


ทั้งๆที่มีรายงานเป็นมติเอกฉันทั้งซุนนีและชีอะฮ์ว่าท่านศาสดา(ศ)กล่าวว่า “แท้จริงแล้วฟาฏีมะฮ์คือผู้นำสตรีแห่งสวรงสวรรค์”

اما ترضين ان تكوني سيدة نساء أهل الجنة أو نساء المؤمنين .

صحيح البخاري - البخاري - ج 4 - ص 183

เจ้าไม่พึงพอใจดอกหรือที่ได้เป็นนายหัวหน้าสตรีแห่งสรวงสวรรค์ หรือหัวหน้าของสตรีผู้ศรัทธา

บุคอรี เล่ม4 หน้า183



وقال النبي صلى الله عليه وسلم فاطمة سيدة نساء أهل الجنة .

صحيح البخاري - البخاري - ج 4 - ص 219 .

และท่านศาสดากล่าวอีกว่า “ฟาฏีมะฮ์หัวหน้าสตรีแห่งสรววงสวรรค์”

บุคอรี เล่ม4 หน้า219


ทำมัย อิบนุ ตัยมียะฮ์ผู้เป็นเสาหลักของวะฮาบีจึงกล่าวว่า ฟาฏีมะฮ์คือมุนาฟิก ถ้าไม่ใช่เพราะความจงเกลียดจงชังที่มีต่ออะฮ์ลุลบัยต์วงวานศาสดา


โหลดหนังสือ มินฮาจ อัซซุนนะฮ์ จากเว็บวะฮาบี

http://www.d-alsonah.com/vb/showthread.php?t=745


ชี้แจงความตอแหล:เรามาดูชีอะห์โกหกกันนะครับ อ้างว่าท่านอิบนุตัยมียะห์เขียนว่า

“การที่ฟาฏิมะฮ์(อ)ได้มาทำการทวงคืนสวนฟะดักจากอบูบักร์ แต่ก็ไม่ได้คืนให้นาง ซึ่งการกระทำของนางนั้นคือการกระทำของมุนาฟิกดังที่อัลกุรอ่านได้กล่าวไว้ว่า”
وَ مِنْهُمْ مَنْ يَلْمِزُكَ فِي الصَّدَقَاتِ فَإِنْ أُعْطُوا مِنْهَا رَضُوا وَ إِنْ لَمْ يُعْطَوْا مِنْهَا إِذَا هُمْ يَسْخَطُونَ (توبه/58)
และบางส่วนจากพวกเขานั้นได้ตำหนิเจ้าในเรื่องของบริจาค หากพวกเขาได้รับมันพวกเข้าก็จะดีใจและหากไม่ได้รับมันทันใดนั้นพวกเขาก็จะโกรธ อัต เตาบะฮ์56

******************************
ที่ถูกต้องในหนังสือคือ
اليس من يذكر مثل هذا عن فاطمة ويجعله من مناقبها جهلا
اوليس الله قد ذم المنافقين الذين قال فيهم
وَ مِنْهُمْ مَنْ يَلْمِزُكَ فِي الصَّدَقَاتِ فَإِنْ أُعْطُوا مِنْهَا رَضُوا وَ إِنْ لَمْ يُعْطَوْا مِنْهَا إِذَا هُمْ يَسْخَطُونَ

"มิหรือคนที่กล่าวถึงเรื่องนี้ว่ามาจากฟาฏิมะห์ และทำให้สิ่งนั้นเป็นคุณสมบัติของนาง คนนั้นคือคนโง่เขลา?"
ทั้ง ๆ ที่อัลลอห์ได้ทรงตำหนิพวกสับปลับ มิใช่ดอกหรือ ซึ่งพระองค์ได้กล่าวถึงพวกเขาว่า "และบางส่วนจากพวกเขานั้นได้ตำหนิเจ้าในเรื่องของบริจาค หากพวกเขาได้รับมันพวกเข้าก็จะดีใจ และหากไม่ได้รับมันทันใดนั้นพวกเขาก็จะโกรธ .......... "
(หมายความ คนที่คิดว่านางโลภในทรัพย์สินถึงขนาดแค้นต่ออะบูบักรฺ หลังจากการทวงทรัพย์สินฟะดัก คนนั้นแหละคือคนโง่เขลา เพราะการคิดเล็กคิดน้อยเรื่องทานบริจาค เป็นคุณสมบัติของพวกมุนาฟิก ซึ่งท่านหญิงฟาฏิมะห์ไม่ใช่แบบนั้นแน่)
*************************************
ชีอะห์อ้างว่า อิบนุตัยมียะห์เขียนว่า
فمن مدح فاطمة، بما فيها اشتبه من هولاء.( منهاج السنه، ج4، ص245)
อิบนุตัยมียะฮ์ยังได้กล่าวต่ออีกว่า
“ใครก็ตามที่ชื่นชมและพยามยามเชิดชูฟาฏิมะฮ์(อ)ในตัวเขาก็มีความเป็นมุนาฟิกเช่นกัน”
พวกชีอะห์โกหก เปลี่ยนแปลงคำพูด ไม่รักษาอะมานะห์ และ ก็อปมาแค่ครึ่งเดียว

**************************************
แต่ที่ถูกต้องในหนังสือคือ
فمن مدح فاطمة، بما فيه شبه من هولاء
الا يكون قادحا فيها
ดังนั้นผู้ใดในหมู่พวกนั้น ที่สรรเสริญนาง ด้วยสิ่งที่กำกวม เขาคนนั้นก็เป็นผู้ใส่ร้ายนางไม่ใช่ดอกหรือ?
(หมายความ ถ้าพวกชีอะห์คนใด สรรเสริญนางเรื่องที่นางโกรธอะบูบักรฺ ทั้ง ๆ ที่สิ่งนั้นไม่ถูกต้อง อันที่จริงชีอะห์คนนั้นเป็นผู้ใส่ร้ายนางต่างหาก ไม่ได้ใส่ร้ายนางสักหน่อย)
******************************************
فيه (ในเรื่องนั้น) เปลี่ยนเป็น فيها (ในตัวนาง)
شبه (คำนาม แปลว่า ความกำกวม) เปลี่ยนเป็น اشتبه (คำกริยา แปลว่า คล้ายคลึง)
แถมยังตัดประโยคหลักออกไปนั่นคือ الا يكون قادحا فيها
"เขาคนนั้นก็เป็นผู้ใส่ร้ายนางไม่ใช่ดอกหรือ?"

ดาวน์โหลดหนังสือเรื่องนี้ได้ที่

http://www.archive.org/download/minhaj/msn4.pdf

แล้วท่านจะพบว่า

ใครกันที่เป็นฝ่ายโกหก

ใครกันที่เป็นฝ่ายบิดเบือน

และใครกันที่ปกป้องและยกย่องท่านหญิงฟาฏีมะฮฺและอะฮฺลุลบัยตฺ จริงๆ
ดังนั้นเมื่อไม่มีหลักฐานว่าท่านอิบนุตัยมียะฮฺด่าทอท่านหญิงแต่อย่างใด การที่ชีอะฮฺ "อ้างว่า" มุฟตีอัสฮัรตำหนิท่านอิบนุตัยมียะฮฺในประเด็นดังกล่าวก็ถือว่าตกไปด้วย เพราะหากว่ามุฟตีอัสฮัรตำหนิจริงๆก็ไม่ใช่ว่าจะเป้นเงื่อนไขให้ข้อมูลที่ฝ่ายรอฟิเฎาะฮฺนำเสนอมมาเป้นจริงขึ้นได้ เนื่องจากแนวทางของท่านอิบนุตัยมียะฮฺมักไม่ค่อยได้รับความพอใจจากแนวทางของกลุ่มอื่นๆอยู่แล้ว หากจะมีใครสวมรอยยตำหนิท่านอิบนุตัยมียะฮฺโดยอาศัยข้อมูลมดเท็จจากชีอะฮฺก็เป็นเรื่องปกติครับ แต่ผมมั่นใจว่าข้อมูลที่ยกมาในลำดับที่สองซึ่งอ้างถึงเชคอัสฮัรก็น่าจะมั่วอีกตามเคย เพราะเป็นไปได้อย่างไรที่อุลามาอ์อัสฮัรจะโจมตีท่านอิบนุตัยมียะฮฺทั้งที่หลักฐานที่ชีอะฮฺยกมาก็ไม่รู้ตรงไหนที่ชี้ว่าท่านอิบนุตัยมียะฮฺตำหนิท่านหญิงหญิงฟาติมะฮฺ

วันอาทิตย์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ซูเราะฮฺอัลอะฮฺซาบสูญหายจริงหรือ?




แนว ทางชีอะฮฺอัรรอฟิเฎาะฮฺคือแนวทางที่ได้ถูกเปิดโปงจนอับอายขายหน้ามาอย่าง หนักเกี่ยวกับความเชื่อในเรื่องที่ว่าอัลกุรอานไม่ครบ ไม่สมบูรณ์ เพราะไม่ว่าพวกเขาจะพยายามปกปิด "ตะกียะฮฺ" อำพรางตัวเองอย่างไรก็ไม่สามารถที่จะตบตาคนที่มีความรู้ได้ เนื่องจากหลักฐานเกี่ยวกับความไม่สมบูรณ์ของอัลกุรอานได้ปรากฏอย่างมากมายใน ตำราชั้นเลิศของพวกเขาทั้งอภิมหาอุลามาอ์ของพวกเขาอย่าง ชัยคฺกุลัยนี ซึ่งชีอะฮฺศรัทธาว่าเป็นตัวแทนขั้นพิเศษของอิมามมะฮฺดีผู้มุดถำเองก็เชื่อ ถือและศรัทธาว่าอัลกุรอานไม่ครบ ผู้ใดสนใจก็ขอให้อ่านถึงคำยืนยันของอุลามาอ์ชีอะฮฺเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ใน

http://anti-rafidah.blogspot.com/2011/02/blog-post_2089.html

อย่าง ไรก็ตามเนื่องด้วยความอับอายจากการถูกเปิดโปงในความเชื่อดังกล่าว จึงทำให้พวกรอฟิเฎาะฮฺพยายามอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อแสวงหาหลักฐานในตำราของ ฝ่ายซุนนีย์ที่ส่อเค้าไปบ้างว่าจะมีความเชื่อในเรื่องความไม่สมบูรณ์ของอัล กุรอานเช่นเดียวกับหลักยึดมั่นอันเร้นลับของพวกตน และหะดีษที่ได้ถูกหยิบยกมาอิงแอบใช้อ้างกันบ่อยก็คือหะดีษที่มีเนื้อหาใจ ความว่า แต่เดิมซูเราะฮฺอัลอะฮฺซาบมีมากถึง 200 อายะฮฺ แต่ทว่าได้สูญหายไปในรัชสมัยของท่านอุษมาน รอฎิฯ จึงเหลือรอดมาเพียงเท่าที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบันนี้ ซึ่งรายงานดังกล่าวนี้คือหลักฐาน "ต้นพระเอก" ที่ฝ่ายรอฟิเฎาะฮฺใช้อ้างว่านี่ไง! หลักฐานของซุนนีที่บอกว่าอัลกุรอานไม่ครบและที่ปรากฏเห็นอ้างกันมาก็มี
1. นายสุไลมาน ผู้รู้ที่ "อ้างต้น" เป็นสายโลหิตท่านนบีได้กล่าวว่าซุนนีเองก็มีสายรายงานที่ส่อเค้าไปว่าอัลกุ รอานไม่ครบจากรายงานในเรื่องนี้นี่เอง (แถมยังมั่วตบท้ายว่าอุลามาอ์ซุนนีอธิบายหะดีษนี้ว่าเป็นเรื่องการนับเลขกุ รอานไม่ตรงกัน!!?)
2. นายอับดุลญะวาด สว่างวรรณ ยกหะดีษต้นนี้มาใช้ในตำราของเขาพร้อมสำทับอย่างลวงโลกว่ามันคือหะดีษ "ซอเฮี๊ยฮฺ" !
3. L'umar แห่งเว็บ Killโฟชีอะฮฺ ลูกหาบสองคนแรกอีกทีก็หยิบยกมาอ้าง
4.อ้ายโหยบ ย่อมใหญ๊ อุลามาอ์รอฟิเฎาะฮฺจอม "มั่วนิ่ม" ตลอดกาลผู้สนับสนุนมุตอะฮฺอย่างสุดแรงเกิดก็อ้างรายงานนี้มาโจมตีซุนนีเช่นกัน

รายงานที่ว่าไปนี้มีตัวบทเต็มๆดังนี้

قال: حدثنا ابن أبي مريم عن ابن لهيعة عن أبي الأسود عن عروة بن الزبير بن عائشة قالت: كانت سورة الأحزاب تقرأ في زمن النبي صلى الله عليه وسلم مائتي آية، فلما كتب عثمان المصاحف لم نقدر منها إلا ما هو الآن
"ในสมัยของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลฯ ซูเราะฮฺอัลอะฮฺซาบที่ได้มีการอ่านกันนั้นมีจำนวนถึง 200 โองการ และพอมาถึงในสมัยที่อุษมานได้รวบรวมอัลกุรอานเป็นมุศฮัฟ(เล่ม) เราหาซูเราะฮฺอัลอะฮฺซาบได้เพียงแค่จำนวนอายะฮฺตามที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน นี้"
 
(หะดีษจาก: หนังสือ ตัฟซีร ดุรมันษูร เล่ม 5 หน้า 180, หนังสือ อัลอิตกอน เล่ม 2 หน้า 25)


วิเคราะห์สายรายงาน:
1.อิบนิอบีมัรยัม
2.อิบนิละฮีอะฮฺ
3.อบีอัลอัสวัด
4.อุรวะฮฺบินซุบัยรฺ
5.ท่านหญิงอาอิชะฮฺ (รอฎิฯ)
หะ ดีษบทนี้อยู่ในสถานะที่ไม่ซอเฮี๊ยฮฺ ไม่ถูกต้อง หรือ "ดออีฟ" นั่นเองเพราะในสายรายงานของมันปรากฏบุคคลที่ชื่อ อิบนิละฮีอะฮฺ อยู่ซึ่งเป็นบุคคลที่ถูกวิจารณ์กันว่า "ดออีฟ"

قال ابن معين: ضعيف لا يحتج به
أحمد بن محمد الحضرمي، سألت ابن معين عن ابن لهيعة، فقال: ليس بقوى. معاوية بن صالح، سمعت يحيى يقول: ابن لهيعة ضعيف
"ท่าน อิบนิมะอีนกล่าวว่า (เขาอิบนิละฮีอะฮฺ) เป็นบุคคลดออีฟ (อ่อน) และไม่ถูกนำมาเป็นหลักฐาน(ในการรายงานหะดีษ) ท่านอะฮฺมัดบินมุฮัมมัด อัลฮัฎรอมีย์กล่าวว่า ฉันได้ถามท่านอิบนิมะอีนเกี่ยวกับอิบนิละฮีอะฮฺ และท่านกล่าวว่า เขาไม่แข็งแรง(ไม่มีนำหนักในการรับหะดีษ) ส่วนมุอาวิยะอฺ บินซอและฮฺกล่าวว่า ฉันได้ยินท่านยะฮฺยากล่าวว่า อิบนิละฮีอะฮฺนั้นดออีฟ(อ่อน)"

หนังสือ : มิซานนุลอิอฺติดาล ของอิมาม ซะฮฺบีย์ หมายเลขที่ 4530


ข้อ เท็จจริงโดยสรุปก็คือหะดีษต้นนี้ดออีฟ ไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานได้ ดังนั้นสิ่งที่อุลามาอ์รอฟิเฎาะฮฺว่าไว้จากรายนามต่างๆดังที่ได้กล่าวมา จึงถือว่าเป็นสิ่งที่มั่วนิ่มและอ่อนหัดมาก ชนิดยกเมฆกันมาแบบไม่อายฟ้าดิน
คำถามสำหรับรอฟิเฎาะฮฺ ทำไมพวกท่านถึงมั่วนิ่มเยี่ยงนี้??!

วันเสาร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

Tear of Iraq - น้ำตาของพี่น้องในอิรัก




อิมามของรอฟิเฎาะฮฺอาเหล่มถึงเจ็ดหมื่นภาษา!!!!!!!!!!!!!


หนึ่งในความเชื่อ "อันพิสุทธิ์" จากมโนคติอันยิ่งใหญ่ของชาวรอฟิเฎาะฮฺได้ถูกฉายภาพให้เห็นจากตำราอัน "ศอเฮี๊ยฮฺ" ที่ชาวรอฟิเฎาะฮฺในบ้านเมืองเราชอบกล่าวเท็จว่า "ฎออีฟ" อยู่เสมอๆเพื่อกลบเกลื่อนและ "หลอกลวง" คนซื่อๆที่ไล่ตามความตลบตะแลงของพวกเขาไม่ทัน ตำราที่ว่าดังกล่าวนี้ก็คือ "อัลกาฟีย์" ที่เคยถูกท่านชัยคฺฟัยฎุลกะชานี ฟัตวาไว้ว่า "ไม่มีข้อบกพร่อง" มาแล้ว และเราก็พบคำสอนอันแปลกประหลาดจากตำราเล่มนี้ดังนี้

5 – أحمد بن محمد ومحمد بن يحيى، عن محمد بن الحسن، عن يعقوب بن يزيد، عن ابن أبي عمير، عن رجاله، عن أبي عبدالله عليه السلام قال: إن الحسن عليه السلام قال: إن لله مدينتين إحداهما بالمشرق والاخرى بالمغرب، عليهما سور من حديد وعلى كل واحد منهما ألف ألف مصراع وفيها سبعون ألف ألف لغة، يتكلم كل لغة بخلاف لغة صاحبها وأنا أعرف جميع اللغات وما فيهما وما بينهما، وما عليهما حجة غيري وغير الحسين أخي.

อะฮฺมัดอิบนุมุฮัมมัด และมุฮัมมัด อิบนุยะฮฺยา ได้รายงานจากมุฮัมมัดอิบนุลหะซันจากยะอฺกู๊บอิบนุยะซีด จากอิบนุอบูอุมัยรฺ จากผู้คนของเขาจากอบูอับดุลลอฮฺ อลัยฮิสลาม ซึ่งไว้ดังนี้ : อัลหะซัน อลัยฮิสสลาม ได้กล่าวว่า และสำหรับพระองค์อัลลอฮฺนั้นทรงมี 2 เมืองคือ เมืองแห่งทิศตะวันออกและทิศตะวันตก เมืองทั้งสองนี้มีอาณาเขตล้อมรอบพวกมันซึ่งได้ถูกสร้างขึ้นมาจากธาตุเหล็ก และแต่ละอันของมันนั้นมีถึงล้านประตู และในเมืองดังกล่าวได้มี ภาษาที่ใช้กันอยู่ถึง เจ็ดหมื่นล้านภาษา!!!และฉันเข้าใจภาษาเหล่านั้นทั้งหมด

(จากหนังสือ "อัลกาฟีย์" เล่ม 1 หน้า 462 หะดีษหมายเลขที่ 5 )

สถานะหะดีษ : ศอเฮี๊ยฮฺ ตราจทานโดย อัลลามะฮฺเชคอัลมัจลิซีย์ ใน "มิรอะตุลอุกูล" เล่ม 5 หน้า 357


แต่ แม้ว่าหะดีษจะซอเฮี๊ยฮฺแค่ไหน เชื่อเหลือเกินว่าชาวรอฟิเฎาะฮฺในไทยก็คงตอบแบบเดิมๆว่า "ฎออีฟ" อีกตามเคย!?
เพราะ เราคือชีอะฮฺที่ต้องตะกียะฮฺ!!?และอุลามะอฺชีอะฮฺในไทยของเราเป็นลูกหลานนบี "ของแท้" เพราะฉะนั้นจึงเจ๋งกว่าผุ้รู้อิหร่านแน่นอน?????

ชีอะฮฺรอฟิเฎาะฮฺประกาศลั่นอะลีไม่ต่างอะไรกับพระองค์อัลลอฮฺ!

เมื่อเอ่ยถึง อยาตุลลาต อะลีคอมาเนอีย์แล้ว ปีกแห่งความทรนงตนที่อยู่ในกระโหลกกระลาของพวกรอฟิเฎาะฮฺก็จะอ่อนน้อมลงต่อตำแหน่งผู้นำสูงสุดทางศาสนาของพวกเขาที่มีอยู่ในตัวนายอะลี คอมาเนอีย์
ดังนั้นข้อเขียนหรือข้อตัดสิน(ฟัตวา)ใดๆที่นายคอมาเนอีย์ ผู้นี้นำออกมาประกาศย่อมถือเป็นหลักฐานแก่การตักลีด(หลับหูหลับตาตาม) แก่ชาวชีอะฮฺรอฟิเฎาะฮฺทั้งหลาย 

ชายชราผู้น่าสงสารผู้นี้ได้ฟัตวาไว้ในหนังสือของเขาว่า


คำถามข้อที่ 325 : มีกลุ่ม กลุ่มหนึ่งที่เรียกว่า “อลี อัลลอฮิยะฮฺ” พวกเขาเชื่อว่าท่านอลีไม่ใชอัลลอฮฺ แต่พวกเขาเชื่อว่าท่านอะลีไม่ได้แตกต่างไปกว่าอัลลอฮฺ (เรื่องสิ่งต่างๆ) ดังนั้นอยากทราบว่าข้อตัดสินของท่านเป็นอย่างไรกับคนกลุ่มนี้ครับ?

ตอบ ถ้าพวกเขากล่าวว่าท่านอลีมิใช่อัลลอฮฺ ดังนั้นพวกเขาไม่ใช่มุชริก(กาเฟร)


กระไรกันเล่ากับผู้นำรอฟิ เฎาะฮฺท่านนี้ที่เขาตัดสินไปว่าคนที่เชื่อว่าท่านอะลีมิได้แตกต่างจากพระ องค์อัลลอฮฺจึงไม่ใช่มุชริกผู้ตั้งภาคี!!! ทั้งๆที่หลักความเชื่อดังกล่าวนี้ขัดแย้งกับมติเอกฉันท์ของอุลามาอ์ทุกกลุ่ม ที่เห็นพ้องว่าผู้ใดศรัทธาว่าพระองค์อัลลอฮฺเสมือนมัคลูกสิ่งถูกสร้างผู้ นั้นย่อมเป็นกาเฟรอย่างชัดเจน แล้วไฉนเลยกับผู้นำรอฟิเฎาะฮฺท่านนี้กลับบอกว่าการเชื่อว่าท่านอะลีไม่ต่าง จากอัลลอฮฺนั้นไม่เป็นไร!!! ทั้งๆที่หลักความเชื่อดังกล่าวขัดแย้งอย่างชัดเจนกับโองการที่ว่า

{ فَاطِرُ ٱلسَّمَٰوَٰتِ وَٱلأَرْضِ جَعَلَ لَكُم مِّنْ أَنفُسِكُمْ أَزْوَاجاً وَمِنَ ٱلأَنْعَامِ أَزْواجاً يَذْرَؤُكُمْ فِيهِ لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ وَهُوَ ٱلسَّمِيعُ ٱلْبَصِيرُ }

พระองค์ผู้ทรง สร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน พระองค์ทรงทำให้มีคู่ครองแก่พวกเจ้า จากตัวของพวกเจ้าเอง และจากปศุสัตว์ทรงให้มีคู่ผัวเมีย ด้วยเหตุนี้พระองค์ทรงแพร่พันธุ์พวกเจ้าให้มากมาย ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์ และพระองค์เป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงเห็น
(อัชชูรอ:11)


บท สรุปจากหลักความเชื่อในเรื่องผู้นำหลังจากท่านนบีหรือ "อิมาม" นี้ก็เพียงพอแล้วที่ท่านจะตัดสินว่าความเชื่อวิตรถารกาลีโลกเช่นนี้มาจาก "แนวทางของนบี" จริงหรือ? และนี่ดอกหรือที่คือเป้าหมายของหลักความเชื่อในเรื่องอิมามหรือผู้นำหลังจา กนบีที่ฝ่ายรอฟิเฎาะฮฺพยายามที่จะหาหลักฐานมาสนับสนุนอย่าง "ฉาบฉวย" จากหะดิษฆอดีรคุมหรือ 12 คอลีฟะฮฺก็ดีทั้งๆที่หะดิษเหล่านี้มีข้อเท็จจริงที่แตกต่างอย่างสุดขั้วจาก หลักความเชื่อเรื่องอิมามของฝ่ายรอฟิเฎาะฮฺ!!! ซึ่งหากจะเปรียบเทียบจุดยืนของพวกรอฟิเฎาะฮฺเกี่ยวกับหลักความเชื่อเรื่อง ผู้นำหลังจากท่านนบีที่พวกเขานิยมหยิบยกหะดิษฆอดีรคุมมานำเสนอจนเป็นผลให้ บางคน "ตาบอด" มองเพียงเรื่องนี้มุมเดียวแล้วด่วนตัดสินว่ารอฟิเฎาะฮฺคือแนวทางที่ถูกต้อง ก็เสมือนกับมีชายอยู่สองคนซึ่งทั้งคู่ต่างจะออกเดินทางโดยสารไปยังจุดหมาย ปลายทางของตน เพียงแต่ว่า คนแรกขี่พาหะนะที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายเพราะ พรบ. หมดอายุ แต่จะขี่ไปละหมาดที่มัสยิด ส่วนอีกคนหนึ่งขี่พาหะนะที่ถูกต้องครบถ้วนทุกอย่าง แต่จะขี่ไปเที่ยวดิสโก้เทค สภาพของรอฟิเฎาะฮฺก็ไม่ต่างอะไรกับชายคนที่สองผู้นี้ ที่หยิบยกหะดิษฉาบฉวยมานำเสนอหลักความเชื่อเรื่องอิมามะฮฺของพวกเขาอย่างดู น่าเชื่อถือจนผู้คนพลอยหลงกันไปหมด ทั้งๆที่เคยมีใครบ้างไหมที่จะถามว่าหลักความเชื่อในเรื่องท่านอะลีได้รับการ แต่งตั้งให้เป็นผู้นำหลังจากนบีหรืออิมามะฮฺของพวกท่านนั้น มีเป้าหมายไปจบที่ไหน? จบที่ความเชื่อซึ่งสรุปได้ว่าบรรดาอิมามหรือผู้นำของพวกท่านคือพระเจ้าใช่ ไหม!!!!? นี่หรือหลักการเรื่องผู้นำที่ท่านเชื่อว่านบีมาสอน!!?

{ قُلْ يٰأَهْلَ ٱلْكِتَابِ تَعَالَوْاْ إِلَىٰ كَلِمَةٍ سَوَآءٍ بَيْنَنَا وَبَيْنَكُمْ أَلاَّ نَعْبُدَ إِلاَّ ٱللَّهَ وَلاَ نُشْرِكَ بِهِ شَيْئاً وَلاَ يَتَّخِذَ بَعْضُنَا بَعْضاً أَرْبَاباً مِّن دُونِ ٱللَّهِ فَإِن تَوَلَّوْاْ فَقُولُواْ ٱشْهَدُواْ بِأَنَّا مُسْلِمُونَ }

จงกล่าว เถิด (มุฮัมมัด) ว่า โอ้บรรดาผู้ได้รับคัมภีร์ ! จงมายังถ้อยคำหนึ่งซึ่งเท่าเทียมกัน ระหว่างเราและพวกท่าน คือว่าเราจะไม่เคาระสักการะนอกจากพระองค์เท่านั้น และเราจะไม่ให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นภาคีกับพระองค์ และพวกเราบางคนก็จะไม่ยึดถืออีกบางคนเป็นพระเจ้าอื่นจากอัลลอฮ์ แล้วหากพวกเขาผินหลังให้ ก็จงกล่าวเถิดว่า พวกท่านจงเป็นพยานด้วยว่า แท้จริงพวกเราเป็นผู้น้อมตาม
(อาลิอิมรอน:64)
 
 

(อะลี คอมาเนอีย์ กับภาพสูบบุหรี่แห่งประวัติศาสตร์)

วันพุธที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

คำยืนยันจากอิมามอัลคูอีย์"อัลกุรอานฉบับปัจจุบันถูกบิดเบือนแล้ว!!!"


ชาวรอฟิเดาะฮ์นั้นมักจะปฏิเสธเสียงแข็งมาตลอดในประเด็นของการบิดเบือนอัลกุรอาน ถ้าหากยังจำกันได้ถึงวิดีโอ ที่ท่านอาจารย์ฟารีด เฟ็นดี้ เคยไปถกทางวิชาการกับ อ.สุไลมาน ของฝ่ายรอฟิเดาะฮ์นั้น เราจะพบว่า อ.สุไลมานได้พยายามปฏิเสธตลอดการเสวนาว่ารอฟิเดาะฮ์ไม่ได้เชื่อว่า อัลกุรอานไม่สมบูรณ์ส่วนหะดิษต่างๆที่ปรากฏอยู่ในตำราของฝ่ายชีอะฮที่ระบุว่าอัลกุรอานถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขนั้นล้วนแล้วแต่เป็นหะดิษดออีฟ(อ่อน) ไม่สามารถนำมาใช้ได้ อย่างไรก็ตาเข้าใจได้ว่าการปฏิเสธในลักษณะของ อ.สุไลมาน คงทำไปตามหลักการ "อัตตะกียะฮ์" หรือการซ่อนเร้นอำพราง เพราะในความเป็นจริงแล้วนั้น หะดิษจากฝ่ายรอฟิเดาะฮ์ที่ระบุถึงความไม่สมบูรณ์ของอัลกุรอานนั้นได้ผ่านการตรวจสอบตามระบบตรวจสอบหะดิษ(มุสตอละฮ์)ของทางฝ่ายรอฟิเดาะฮ์แล้วว่ามันมีความ "ศอเฮี๊ยฮ์" เชื่อถือได้!!
ปรากฎในหนังสือชิ้นสำคัญของ อิมามอัลคูอีย์ อุลามาอ์รอฟิเดาะฮ์จากเมืองนะญัฟ ประเทศอิรัคที่ชื่อว่า "มัจมัวอฺอัลบะยานฟิตัฟซีรอัลกุรอาน" ซึ่งเจ้าตัวได้ตอบคำถามแก่ชาวรอฟิเดาะฮ์ไว้ว่า



ถาม: บรรดาสายรายงาน(หะดีษ)มุตะวาติร(ยิ่งกว่าศอเฮี๊ยฮ์)จากบรรดาอะฮฺลุลเบต อลัยฯ ได้ชี้ให้เห็นว่า การบิดเบือนได้ปรากฏขึ้นในอัลกุรอาน และดังนั้นอัลกุรอานจะต้องถูกเลือกนำมาใช้ใช่ไหม? (เอามาใช้ทั้งหมดไม่ได้-ผู้แปล)

ตอบ:ตอบ : ผู้คนที่รายงานมาจากอะฮฺลุลบัยตฺซึ่งปรากฎอยู่ในอิสนาดของมันนั้นนำเอารายงานมาจากบรรดาอิมามซึ่ง
เป็นเครื่องยืนยันถึงความถูกต้อง


เชคฟัยฎุลกาชานีย์พูดอย่างไรต่ออัลกุรอานของอัลลอฮฺ?



พวกชีอะฮฺอัรรอฟิเฎาะฮฺมักจะแก้เกี้ยวปฏิเสธหลักยึดมั่นสำคัญของพวกเขาอยู่เสมอในเรื่องที่ว่าอัลกุรอานฉบับปัจจุบันนั้นไม่สมบูรณ์ สาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่พวกเขาปฏิเสธหลักยึดมั่นนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าฝ่ายอะฮฺลุซซุนนะฮฺก็คงไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกจากเหตุผลทางจิตวิทยาในการชักลากผู้คน กล่าวคือเหล่าอุลามาอ์ลิ้นงูลิ้นสองแฉกของชีอะฮฺอัรรอฟิเฎาะฮฺโดยมากมักไม่เปิดเผยความเชื่อที่แท้จริงในเรื่องดังกล่าวนี้สักเท่าใดนักโดยเฉพาะในยามที่มีการโต้เถียงกับฝ่ายซุนนะฮฺบนเวที โดยเหล่าอุลามาอ์กลุ่มนี้จะแสร้งทำทีเป็นว่าตนเองถูกใส่ร้าย แล้วก็ชอบปัดเลี่ยงด้วยการตอบคำถามฝ่ายซุนนะฮฺแบบโดยรวมกลบเกลื่อนประมาณว่าผมเชื่ออัลกุรอานเล่มเดียวกับท่านอะไรทำนองนี้ กรณีเช่นนี้สามารถพบเห็นได้จากลักษณะการตอบของ "บนีฮาชิมตัวปลอม" อย่างสุไลมาน เมื่อครั้งที่เขาได้ไปถกเถียงกับฝ่ายซุนนะฮฺเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งหากผู้มีวิจารณญานสังเกตุเห็นจะพบได้ว่าลักษณะการตอบของสุไลมานในครั้งนั้นเป็นการตอบ "มั่วนิ่ม" และผิดประเด็น กล่าวคืออุลามาอ์ฝ่ายซุนนะฮฺถามว่าอุลามาอ์ชีอะฮฺคนนี้บอกว่าอัลกุรอานไม่ครบ แต่ตัวสุไลมานกลับเอาความเชื่อ "ส่วนตัว" ไปตอบแทนทำให้เกิดการท้าสาบานไปต่างๆนานาซึ่งพอฝ่ายซุนนะฮฺไม่รับคำท้าก็พิพากษาว่าฝ่ายซุนนะฮฺดีแต่ฟิตนะฮฺแต่เอาเข้าจริงไม่กล้ารับคำท้าสาบาน ทั้งๆที่การที่ฝ่ายซุนนะฮฺไม่รับคำท้าเพราะฝ่ายซุนนะฮฺไม่ได้ถามความเชื่อของคุณสุไลมานที่เคยเป็น "ซุนนี" มาก่อนไม่แต่เขาถามความเชื่อของ "อุลามาอ์ชีอะฮฺรอฟิเฎาะฮฺ" เพราะระดับคุณสุไลมานไม่มีใครเขารับมาเป็นบรรทัดฐานทางวิชาการหรอกนอกจากพวกชีอะฮฺรอฟิเฎาะฮฺในกระโหลกกระลาบ้านเราเท่านั้นที่ไม่เคยรู้จักผู้รู้ชีอะฮฺคนใดเลยนอกจาก สุไลมาน โคไมนี่ คอมาเนอี และซิสตานี ทั้งๆที่คนเหล่านี้ยังอ่อนด้อยมากนักต่อการวางรากฐานของชีอะฮฺหากเทียบกับคนอย่าง เชคมุฟีด,กุลัยนี,อัลมัจลิซีย์, อัลญะซาอิรีย์ เป็นต้น ดังนั้นการที่ผู้รู้ฝ่ายซุนนะฮฺไม่รับคำท้าสาบานมุบาฮะละฮฺเรื่องอัลกุรอานในครั้งนั้นก็พึงรู้ไว้ด้วยว่าเขาไม่ได้ไม่กล้า แต่เขาไม่รับคำท้าเพราะตัวของคุณสุไลมานเอาความเชื่อ "ส่วนตัว" ของท่านมาท้าสาบานทั้งๆที่ผู้รู้ซุนนะฮฺเขาคุยกันถึงอุลามาอ์ชีอะฮฺคนอื่นๆกันต่างหาก!!!?

นั่นก็เพราะว่าคุณสุไลมานอ้างอยู่เสมอในวิดีโอว่า "'ผม' (คือตัวของท่านเอง) เชื่อในอัลกุรอานเล่มเดียวกับของพี่น้อง" แต่พอผู้รู้ทางฝ่ายซุนนะฮฺถามว่าแล้วเชคอะลีอิบรอฮิมอัลกุมมีล่ะที่เขาบอกว่าไม่ครบท่านจะว่าอย่างไร คุณสุไลมานก็ตอบมาว่า "ผมตอบเคลียร์แล้วอยู่ที่ท่านจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจต่างหาก"!!!? นี่แหละชัยชนะในครั้งนั้นของรอฟิเฎาะฮฺเขาล่ะ

มาฟังเชคฟัยฎุลกาชานีตอบกันเถิด


เชคฟัยฎุลกาชานีคือนักมุฟัศศิรีนชื่อดังของชีอะฮฺอัรรอฟิเฎาะฮ(แต่ชีอะฮฺบ้านเราไม่ยักรู้จักเพราะรู้จักแต่อิมามสุไลมาน!!) ท่านผู้นี้คือเจ้าของหนังสือตัฟซีรชื่อดังคือ "ตัฟซีรอัศศอฟีย์" ซึ่งท่านกล่าวถึงหลักความเชื่อในเรื่องการบิดเบือนอัลกุรอานไว้ว่า



المستفاد من جميع هذه الأخبار وغيرها من الروايات من طريق أهل البيت عليهم السلام إن القرآن الذي بين أظهرنا ليس بتمامه كما انزل على محمد صلى الله عليه وآله وسلم بل منه ما هو خلاف ما أنز الله ومنه ما هو مغير ومحرف وإنه قد حذف عنه أشياء كثيرة منها اسم علي عليه السلام في كثير من المواضع ومنها غير ذلك وأنه ليس أيضا على الترتيب المرضي عند الله وعند رسوله صلى الله عليه وآله وسلم .
وبه قال علي بن إبراهيم

แปล:

"และมันเป็นที่ชัดเจนจากการรายงานเหล่านี้และจากบรรดาการรายงานที่พาดพิงไปยังอะฮฺลุลเบตอลัยฮิสสลามว่า แท้จริงคัมภีร์อัลกุรอานที่เรามีอยู่ในขณะนี้นั้นไม่ใช่อัลกุรอานที่ครบถ้วนสมบูรณ์ซึ่งได้ถูกประทานลงมาแก่ท่านนบีมุฮัมัด (ศ็อลฯ) ในความเป็นจริงแล้วมีปรากฎบรรดาโองการที่ผิดเพี้ยนไปจากที่ได้เคยถูกประทานลงมา,บรรดาโองการซึ่งได้ถูกบิดเบือนและยังมีการตกหายไปของบางโองการตัวอย่างเช่น โองการที่เอ่ยถึงชื่อของท่านอะลี บรรดาอะฮฺลุลเบตบนสาเหตุนานับประการ นอกจากนี้มัน(อัลกุรอานของจริงตามความเชื่อชีอะฮฺรอฟิเฎาะฮฺ-ผู้แปล)ยังปรากฎชื่อของบรรดาคนมุนาฟิกอยู่ด้วย ยิ่งไปกว่านั้น คำสั่งของอัลกุรอานฉบับปัจจุบันยังไม่ใช่คำสั่งอันสำคัญของพระองค์อัลลอฮฺและรอซูล(หมายถึงหลักการสำคัญในอัลกุรอานได้สูญหายไปไม่ปรากฎในอัลกุรอานฉบับปัจจุบัน-ผุ้แปล) และท่านอะลี อิบรอฮีม อัลกุมมี เป็นหนึ่งในผู้ยึดถือทัศนะเช่นนี้!!!"


แค่เพียงข้อความอันชัดแจ้งเหล่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ให้เห็นถึงหลักศรัทธาอันหลงผิดของชาวรอฟิเฎาะฮฺที่มีต่ออัลกุรอานซึ่งหาได้เกิดขึ้นจากการใส่ร้ายใดๆเลย แต่เท่านั้นยังไม่พอ ท่านเชคฟัยฎุลกาชานียังได้กล่าวเพิ่มเติมไว้ว่า

"สำหรับหลักการยึดมั่นของบรรดาอาจารย์ของเรา(ร.ฏ.)นสิ่งดังกล่าวนั้น ซึ่งเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า ผู้ที่ไว้วางใจได้ของอิสลาม คือมุฮัมมัดบินยะอฺกูบ อัลกุลัยนีย์ เชื่อมั่นว่ามีการบิดเบือนและตัดทอนในอัลกุรอาน เพราะเขาได้รายงานหลายรายงานด้วยกันตามความหมายนี้ในหนังสือ อัล-กาฟีย์ของเขา โดยที่เขาไม่ได้เสนอข้อตำหนิใด ๆเลย พร้อมทั้งได้กล่าวไว้ในตอนแรกหนังสือเขาว่า แท้จริงเขาได้เชื่อในสิ่งที่เขาได้รายงานไว้ เช่นเดียวกันกับอาจารย์ของเขาคือ อลีบินอิบรอฮีม อัลกุมมีย์(ร.ฏ.) ที่ตัฟซีรของเขาเต็มไปด้วยมัน (คือสิ่งที่รายงานว่าอัลกุรอานมีการบิดเบือน)และเขาก็มีความยึดอย่างแรงกล้าในมันด้วย เช่นเดียวกับสิ่งดังกล่าว คือเชค อะฮฺหมัดบินอบีฏอลิบอัฏฏ๊อบรุซีย์ ซึ่งเขาได้ดำเนินตามแนวทางของทั้งสอง ที่ได้กล่าวไว้ในหนังสือ อัล-เอี๊ยะหฺตะญาติ "
เราได้เห็นไปแล้วว่าจากการยืนยันของเชคฟัยฎุลกาชานีผู้เป็นลูกศิษย์ของท่านกุลัยนีและอัลกุมมี เองว่าบรรดาอุลามาอ์รอฟิเฎาะฮฺผู้อาวุโสเหล่านี้ต่างก็มีหลักความเชื่อที่ยึดมั่นในความไม่สมบูรณ์ของอัลกุรอานทั้งสิ้น แต่ก็น่าแปลกที่ว่า นายสุไลมาน ยังพยายามแดกดันแก้เกี้ยวว่าชีอะฮฺรอฟิเฎาะฮฺเชื่อว่าอัลกุรอานสมบูรณ์ซึ่งในขณะเดียวกันนายสุไลมานก็ยอมรับว่าเชคกุลัยนีและอัลกุมมีคือนักวิชาการรอฟิเฎาะฮฺที่เขายอมรับ!!? แล้วท่านผุ้อ่านตลอดจนรอฟิเฎาะฮฺในกะลาทั้งหลายล่ะจะเชื่อใคร ระหว่างสุไลมานผู้ซึ่งทั้งชีวิตไม่เคยพบเจอทั้งกุลัยนีและอัลกุมมีทั้งยังไม่ได้ติดระดับของนักวิชาการชั้นแนวหน้าของโลกรอฟิเฎาะฮฺแต่อย่างใด กับเชคฟัยฎุลกาชานีผู้เป็นลูกศิษย์ของท่านกุลัยนีและอัลกุมมีซึ่งเป็นตัวแทนอิหม่ามมะฮฺดีอีกที!!? ทั้งยังเป็นเจ้าของงานวิชาการที่ทรงอิทธิพลต่อโลกชีอะฮฺรอฟิเฎาะฮฺอย่าง "ตัฟซีรอัศศอฟีย์" แต่ก็อย่างว่าแหละ บทความนี้คงจบลงด้วยการแก้ตัวของพวกรอฟิเฎาะฮฺว่า "วะฮะบีย์" ใส่ร้ายป้ายสีต่อชีอะฮฺ,อิจฉาต่ออะฮฺลุลเบต,ชิงชังการปฏิวัติอิหร่าน,บิดเบือนหลักการชีอะฮฺและ ฟัยฎุลกาชานีคือใครไม่รู้จัก?!! จนประหนึ่งราวกับว่ามีเพียงอิหม่ามสุไลมานเท่านั้นแหละที่เป็น "ฮุจญะฮฺ" หลักฐานของพวกเขาและอาเหล่มที่สุดในโลกแล้ว!!!?


قَدْ خَسِرَ ٱلَّذِينَ قَتَلُوۤاْ أَوْلَٰدَهُمْ سَفَهاً بِغَيْرِ عِلْمٍ وَحَرَّمُواْ مَا رَزَقَهُمُ ٱللَّهُ ٱفْتِرَآءً عَلَى ٱللَّهِ قَدْ ضَلُّواْ وَمَا كَانُواْ مُهْتَدِينَ
"แท้จริงได้ขาดทุนแล้ว บรรดาผู้ที่ฆ่าลูก ๆ ของพวกเขา เพราะความโง่เขลาโดยปราศจากความรู้ และให้เป็นที่ต้องห้ามในสิ่งที่อัลลอฮ์ให้เป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกเขา ทั้งนี้เป็นการอุปโลกน์ความเท็จให้แก่อัลลอฮ์ แท้จริงนั้นพวกเขาหลงผิดไปและพวกเขาไม่เคยได้รับคำแนะนำ"










ยังมีวะฮีย์อื่นอีกจากอัลกุรอานนั่นคือคัมภีร์ของฟาติมะฮฺ!!




เราเคยได้ยินกันมาพอสมควรถึงสิ่งที่เรียกว่า "มุศฮัฟฟาติมะฮฺ" หรือ คัมภีร์ของท่านหญิงฟาติมะฮฺ รอฎิฯ ที่มีอยู่ในหลักอากีดะฮฺความเชื่อของพวกรอฟิเฎาะฮฺ
ผู้คนโดยส่วนมากมักจะสับสนว่า มุศฮัฟ หรือคัมภีร์แห่งฟาติมะฮฺที่ว่านี้คืออะไร และอยู่ที่ไหน? สืบเนื่องจากฝ่ายรอฟิเฎาะฮฺมักจะอ้างและตบตาตะกียะฮฺสร้างความสับสนแก่ผู้คนอยู่เสมอในเรื่องราวข้อเท็จจริงของมุศฮัฟฟาติมะฮฺ เพราะพอเราถามพวกเขาว่า คัมภีร์ของฟาติมะฮฺคืออะไร พวกเขาก็จะตอบมาว่า โอ๊ย !! เข้าใจผิดแล้ว มันไม่ใช่คัมภีร์ แต่มันคือ หนังสือบันทึกส่วนตัวในเรื่องศาสนาของท่านหญิงฟาติมะฮฺเอง!! การแก้ตัวนำขุ่นๆเช่นนี้ปรากฎพบในการถกกันของ นายสุไลมาน ฮุซัยนี ดังนี้





สุไลมาน กล่าวว่า
วินาทีที่ 3:41 เป็นต้นไป

"ส่วนอีกอันหนึ่งที่อยากชี้แจงที่พี่น้องได้นำมาเสนอเรื่องเกี่ยวกับ มุศฮัฟฟาติมะฮฺ ตรงนี้นั้นไม่ใช่อัลกุรอาน มุศฮัฟฟาติมะฮฺที่ชีอะฮฺบอกว่ามีนั้นคือหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่อยู่กับท่านหญิงฟาติมะฮฺ นั่นเป็น หนังสือของท่านหญิงฟาติมะฮฺ ที่ได้เขียนได้บันทึกรวบรวมตามความรู้ของท่าน ........ดังนั้นมุศฮัฟของฟาติมะฮฺคือบันทึกส่วนตัวของท่านหญิงฟาติมะฮฺเกี่ยวกับความรู้ต่างๆที่นางได้รับการสั่งสอนถ่ายทอดจากท่านนบี ศ็อลฯ ไม่ใช่อัลกุรอาน"
โดยสรุป มุศฮัฟฟาติมะฮฺ ตามการชี้แจงของนายสุไลมานก็คือ
1. หนังสือ เล่มหนึ่งที่ท่านหญิงได้เขียนบันทึกตามความรู้ของท่านหญิงเอง = ไม่ใช่อัลวะฮีย์ หรือวิวรณ์จากอัลลอฮฺ
2. มุศฮัฟฟาติมะฮฺไม่ใช่อัลกุรอาน เพราะอัลกุรอานไม่ใช่มัคลูกหรือสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นแต่มันคือวะฮีย์จากอัลลอฮฺ ในขณะที่มุศฮัฟฟาติมะฮฺคือ มัคลูกหรือหนังสือที่มนุษย์สร้างขึ้น


อินชาอัลลอฮฺเราจะได้เปิดโปงชำแหละกันว่า มุศฮัฟฟาติมะฮฺจริงๆแล้วคืออะไร และตรงตามที่นายสุไลมานพยายามจะตะกียะฮฺรู้หรือไม่!!??




: ข้อเท็จจริงของ "มุศฮัฟฟาติมะฮฺ" หรือ คัมภีร์ของท่านหญิงฟาติมะฮฺตามอากีดะฮฺของรอฟิเฎาะฮฺที่ปรากฎในตำราของพวกเขา!!!

ในเว็ปไซต์ภาษาอังกฤษของพวกรอฟิเฎาะฮฺที่ชื่อว่า http://www.balagh.net/ ได้เปิดเผยข้อเท็จจริงของพวกรอฟิเฎาะฮฺด้วยตัวเองอย่างหมดเปลือกปราศจากการตะกียะฮฺ ซึ่งเราได้เซฟหน้าเวปให้ท่านผู้อ่านได้ดูเป็นตัวอย่างดังนี้



คำแปล

ยิ่งไปกว่านั้น ท่านชัยคฺศอดูก อุลามาอ์ชีอะฮฺผู้ยิ่งใหญ่แห่งอิหร่าน ได้รายงานหะดีษไว้ในหนังสือของท่านที่ชื่อว่า "อิลัลชะรอเอี๊ยะอฺ" จากท่านเซด อิบนุอะลีกล่าวว่า "ฉันได้ยินอบูอับดุลลอฮฺซึ่งก็คืออิมามศอดิกกล่าวว่า ท่านหญิงฟาติมะฮฺนั้นถูกขนานนามว่า "มุฮัดดะษะฮฺ" เพราะว่าท่านมลาอิกะฮฺญิบรีลได้เสด็จลงมาหาเธอจากฟากฟ้าและได้พูดกับเธอเฉกเช่นเดียวกับที่ได้เคยพูดกับ นางมัรยัมบุตรของอิมรอน (แม่ของนบีอีซา) ดังนี้ "โอ้ฟาติมะฮฺ อัลลอฮฺได้ทรงเลือกเธอให้อยู่เหนือสตรีทั้งหมดของทุกๆอุมมะฮฺ"



มุศฮัฟฟาติมะฮฺ จาก การเปิดเผยของหนังสือที่ชีอะฮฺศรัทธาอย่างปฏิเสธไม่ได้ว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอิสลามและไม่มี้อผิดพลาดเลย : "อัลกาฟีย์"
ในหนังสือหะดีษหมายเลข 1 ของชีอะฮฺอย่าง "ศอเฮี๊ยฮฺอัลกาฟีย์" ได้บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับฟาติมะฮฺไว้ดังนี้



อิมาม(ญะอฺฟัร อัศ-ศอดิก)กล่าวว่า : เรามีคัมภีร์ฉบับของฟาฏิมะฮฺ และท่านรู้ไหมว่าคัมภีร์ฉบับของฟาฏิมะฮฺนี้คืออะไร? ในมันนั้นก็เปรียบเสมือนอัล-กุรฺอานซึ่งมีขนาดใหญ่โตกว่าอัล-กุรฺอาน(ฉบับปัจจุบัน)ถึงสามเท่า และฉันขอสาบานต่ออัลลอฮฺว่า มันไม่ได้บรรจุแม้สักถ้อยคำหนึ่งของอัล-กุรฺอาน(ฉบับปัจจุบัน)ของท่านเอาไว้แม้แต่น้อย
เราได้เห็นได้ทราบกันไปแล้วว่า มุสฮัฟฟาติมะฮฺ ตามหลักความเชื่อของพวกชีอะฮฺอัรรอฟิเฎาะฮฺนั้น คืออะไร แน่นอนเราสามารถสรุปได้ตรงนี้เลยว่า มุศฮัฟฟาติมะฮฺคือ
1. วะฮีย์ที่พระองค์อัลลอฮฺทรงประทานมาแก่ท่านหญิงฟาติมะฮฺ เมื่อเป็นเช่นนี้จริงมันก็ไม่ต่างจากอัลกุรอานเลย เพราะอัลกุรอานก็คือวะฮีย์
2. มันไม่ใช่บันทึกส่วนตัวตามการแอบอ้างตะกียะฮฺของนายสุไลมาน
3. เมื่อมุสฮัฟฟาติมะฮฺคือวะฮีย์จากอัลลอฮฺ มันก็ย่อมหมายถึงว่ามันคือคัมภีร์จะเรียกว่าอัลกุรอานหรือไม่ ไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือ ทุกวันนี้มันอยู่ที่ไหน หรือว่ามันหายไปแล้ว??? ถ้าชีอะฮฺหามาแสดงไม่ได้ก็แสดงว่า วะฮีย์ของอัลลอฮิอย่างมุศฮัฟของฟาติมะฮฺก็สูญหายไปเช่นเดียวกับอากีดะฮฺอัลกุรอานไม่ครบของรอฟิเฎาะฮเอง

ที่นี้ท่านคงได้เห็นแล้วว่า นายสุไลมานได้ "โกหก" ต่อ อ.ฟารีดและคณะที่ไปถกในครั้งนั้นอย่างไร แต่ก็อย่างว่าแหละ ชีอะฮฺดีทั้งหลายก็ยังคงยิ้มกระหย่องย่องใจว่า การโต้ครั้งนี้ฝายชีอะฮฺชนะ ทั้งๆที่ก็รู้อยู่ในอกคดอยู่ในงอว่าครั้งนั้นชนะได้ก็เพราะวิทยายุทธิ์การโกหกปลิ้นปล้อนทั้งสิ้น!!!!!!!!!!!!!



วันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

คำถามที่สุลัยมานไม่กล้าตอบ!!!



ผมได้ดูวีดีโอการเสวนาระหว่างฝ่ายซุนนีและฝ่ายชีอะฮฺ ซึ่งเป็นวีดีโอที่นานพอสมควรแล้ว สัก 10 ปีแล้วเห็นจะได้ แต่ถึงแม้จะนานแค่ไหนก็ตามดูเหมือนวีดีโอดังกล่าวนนี้ยังคงเป็นที่พูดถึงกันอยู่จนถึงทุกวันนี้จากฝ่ายชีอะฮฺ ว่าเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของชีอะฮฺและความอัปยศอย่างน่าอดสูของพวกวะฮาบีย์!!!! ผมเองจากการได้ดูวีดีโอชิ้นนี้ก็ยอมรับนะครับว่าคุณสุลัยมาน ของฝ่ายชีอะฮฺนั้นเป็นนักพูดตัวยงและถือเป็นคนที่ถ่ายทอดสื่อสารเก่งพอดู ผิดกับโต๊ะครูฝ่ายซุนนีที่การพูดค่อนข้างจะไม่เป็นตรรกะเท่าไหร่ แต่อย่างไรก็ตามหากมองในแง่ของความเป็นวิชาการและข้อมูลของคุณสุลัยมานแล้ว ผมเห็นจะบอกได้อย่างเต็มปากว่าคุณสุไลมานยังอ่อนหัดและนิยมใช้วิทยายุทธการตะกียะฮฺในการเสวนาอยู่มาก


อนึ่งบทความมิได้มีเจตนาจะวิภาษทุกๆส่วนของวีดีโอการเสวนาในครั้งนี้ หากแต่ต้องการจะชี้ให้เห็นถึงการหลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถามของคุณสุลัยมานในประเด็นของอัลกุรอาน ตลอดจนการบิดเบือนผู้ฟังถึงข้อเท็จจริงของการบิดเบือนอัลกุรอานของฝ่ายชีอะฮฺ


ในวีดีโอการเสวนาในครั้งนี้เกี่ยวกับประเด็นของอัลกุรอาน คุณสุลัยมานสรุปเอาว่ารายงานหรือริวายัติที่ระบุถึงการบิดเบือนในอัลกุรอานตามที่ปรากฎในตำราของชีอะฮฺนั้น หมายถึงการบิดเบือนในเชิงความหมาย หาใช่หมายถึงการบิดเบือนโดยการเพิ่มเติมอัลกุรอานเข้าไปใหม่ไม่ พร้อมกับได้ยกตัวอย่างในซูเราะฮฺอัศศอฟาที่เกี่ยวกับท่านนบีอิสมาอีลมาเป็นตัวอย่างแก่ผู้ฟัง แต่อย่างไรก็ตามเมื่อถึงตอนที่ท่านอาจารย์อะมีน เหมเสริม ของฝ่ายซุนนีได้ทำการยกหลักฐานจากตัฟซีรอัลกุมมีโดยการอ่าน       อายะฮฺกุรซีที่ถูกระบุอยู่ในตำราของฝ่ายชีอะฮฺอย่างตัฟซีรอัลกุมมีกลับปรากฏพบว่าอายะฮฺกุรซีในตัฟซีรอัลกุมมีนั้นผิดเพี้ยนและแตกต่างจากอัลกุรอานฉบับที่มุสลิมทั่วโลกเขาใช้กัน โดยมีการเพิ่มประโยคบางประโยคเข้าไป ซึ่งหากใครยังไม่เคยได้รับชมวีดีโอชิ้นนี้กรุณาดูให้เข้าใจเสียก่อน







จากวีดีโอที่ได้ยกมานี้เราจะพบว่า ท่านอาจารย์อะมีน ได้อ่านอายะฮฺกุรซี ในเวอร์ชั่นชีอะฮฺออกมา จากนั้นทีมงานชีอะฮฺผู้อัดวีดีโอชิ้นนี้ก็ได้แสดงความเขลาออกมาโดยการขึ้นตัวอักษรว่า "เกินจริงหรือ" ในวีดีโอชิ้นที่สอง และจากนั้นในวีดีโอชิ้นที่สาม เมื่อถึงคราวที่คุณสุไลมานต้องพูด คุณสุไลมานก็เฉไฉ ด้วยการอ้างว่าตอบเคลียหมดแล้วอยู่ที่ท่านจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจต่างหาก โดยพยายามเลี่ยงไม่ตอบหลักฐานที่อาจารย์อะมีนนำมาอ่านให้ฟัง แล้วก็เปิดประเด็นเรื่องซอฮาบะฮฺเข้ามาแทน ทั้งๆที่ในความเป็นจริงหลักฐานของท่านอาจารย์อะมีนนั้นเป็นหมัดเด็ดที่สำคัญที่มาล้มล้างคำอธิบายมักง่ายของคุณสุไลมานในตอนต้นที่ว่าอัลกุรอานนั้นบิดเบือนในเชิงความหมายเท่านั้น !!! เพราะหลักฐานที่ท่านอาจารย์อะมีนได้อ่านไปนั้นเป็นข้อพิสูจน์ให้เห็นว่าการบิดเบือนอัลกุรอานตามที่ปรากฏอยู่ในตำราของลัทธิชีอะฮฺนั้นหมายถึงการบิดเบือนโดยการเพิ่มข้อความใหม่ๆเข้าไป หาใช่การบิดเบือนในเชิงความหมายและเป็นข้อพิสูจน์ให้เห็นว่าชีอะฮฺเชื่อว่าอัลกุรอานฉบับปัจจุบันไม่สมบูรณ์และชีอะฮฺใช้อัลกุรอานคนละเล่มกับซุนนีย์!!!!

สำหรับทีมงานชีอะฮฺผู้ทำวีดีโอชุดนนี้ออกมาปล่อยทางเว็บไซต์ ผมก็อยากจะกล่าวว่า การที่ท่านแสดงความขี้เท่อออกมาด้วยการเขียนข้อความในวีดีโอแทรกขึ้นมาว่า "เกินจริงหรือ" นั้นท่านได้เคยอ่านตัฟซีรอัลกุมมีบ้างแล้วสักครั้งหรือยัง? หากว่ายัง อย่างน้อยท่านก็ไม่ควรแสดงความฉลาดน้อยออกมาให้เห็นกันได้ขนาดนี้เพราะอะไรนั้นหรือ? ก็เพราะว่าในวันนี้นั้นพระองค์อัลลอฮฺได้ทรงเปิดโปงอากีดะฮฺที่แท้จริงของชีอะฮฺเกี่ยวกับอัลกุรอานซึ่งจะเป็นหลักฐานที่มาสนับสนุนคำพูดของอาจารย์อะมีนในวีดีโอชิ้นนี้ว่า อาจารย์อะมีนเป็นผู้ที่พูดจริง และคุณสุไลมานก็เป็นเพียงคนขี้ขลาดที่หลีกเลี่ยงไม่ยอมตอบคำถามของท่านอาจารย์อะมีนนั่นเอง
หลักฐานดังกล่าวนำมาจากเว็บไซต์ชื่อดังของโลกชีอะฮฺเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นเว็บไซต์ศูนย์กลางของโลกชีอะฮฺ เว็บไซต์ดังกล่าวก็คือ อัลชีอะฮฺ ดอมคอม ซึ่งเป็นเว็บภาษาอาหรับ และที่สำคัญเว็บนี้มีตำราชีอะฮฺให้ดาวน์โหลดมากมายและหนึ่งในนั้นก็คือ ตัฟซีรอัลกุมมี!!!! เมื่อเราได้ทำการเข้าไปโหลด หนังสือเล่มดังกล่าวโดยเฉพะไปตรงส่วนของการตัฟซีรอายะฮิกุรซี เราจะพบสิ่งที่น่าตกใจก็คือ อายะฮฺกุรซีของชีอะฮฺไม่เหมือนของซุนนี!!! และเป็นแบบเดียวกับที่อาจารย์อะมีน เหมเสริมอ่านมันในวีดีโอ และสุไลมานนก็หลีกเลี่ยงไม่ตอบนั่นเอง!!!!!!!!!


กรุณาดูอายะฮฺกุรซีจากตัฟซีรอัลกุมมี ที่เราได้ทำการบันทึกมาจากหน้าเว็บไซต์ของพวกชีอะฮฺ(หากเห็นไม่ชัดกรุณาคลิกที่รูป)
โปรดสังเกตุตรงขีดสีแดงจะพบว่ามีการเพิ่มข้อความเข้ามาซึ่งผิดเพี้ยนจากอายะฮฺกุรซี ที่เราอ่านๆกันทุกวันหลังละหมาดฟัรดู
อีกหลักฐานหนึ่งก็คือจากเว็บไซต์ชีอะฮฺเช่นกันชื่อเว็บว่า 14mason.com ซึ่งปรากฎหะดีษจากกุลัยนี ซึ่งมีระบุอายะฮิกุรซี แบบเดียวกับตัฟซีรอัลกุมมีเป๊













เราได้พบเห็นกันแล้วว่า ในขณะที่ชีอะฮฺเมื่ออยู่ต่อหน้าพวกเราปากจะพูดเสมอว่าอัลกุรอานสมบูรณ์ๆๆๆ แต่ในเวบไซต์ของพวกเขากลับสอนว่าอัลกุรอานไม่สมบุรณ์ เมื่อเราได้พบหลักฐานที่ชัดแจ้งขนาดนี้แล้ว ก็อยากให้เราถามดูว่านี่หรือชัยชนะของการเสวนาที่ชีอะฮฺยกย่องและภูมิใจ การตะกียะฮฺหลีกเลี่ยงไม่ตอบคือชัยชนะของชีอะฮฺงั้นหรือ และนี่ก็คือตัวอย่างเดียวจากหลายๆตัวอย่างที่คุณสุไลมานได้บิดเบือนไป


สำหรับทีมานชีอะฮฺผู้ทำวีดีโอชิ้นนี้ที่อุตส่าแสดงความเขลาออกมาด้วยการขึ้นตัวอักษรว่า "เกินจริงเหรอ" ก็คงไม่ต้องตอบอะไรให้มากความกันอีก




สำหรับในวีดีโออันที่สองผมเห็นแว่บๆว่ามีตัวอักษรขึ้นใหญ่เลยว่า ชีอะฮฺท้าสาบานมุบาฮาละฮฺ ใครจะรับคำท้าบ้าง ตรงนี้ท่านผู้อ่านจะต้องเข้าใจว่าฝ่ายซุนนะฮฺย่อมอยู่ในฐานะที่จะสาบานไม่ได้นั่นก็เพราะว่าฝ่ายซุนนะฮฺเป็นเพียงฝ่ายตั้งข้อสงสัยจากข้อเขียนในตำราของฝ่ายชีอะฮฺ หน้าที่ของชีอะฮฺก็คือการชี้แจงให้ถูกจุดมิใช่มาตัดบทขอท้าสาบาน เพราะสำนวนการท้าสาบานของคุณสุไลมานนั้นย่อมเป็นที่ยอมรับไม่ได้กล่าวคือท่านระบุคำสาบานว่า "ถ้าผมเชื่อว่าอัลกุรอานไม่สมบูรณ์ก็ขอให้อัลลอฮฺลงโทษ" ซึ่งเป็นการอ้างการสาบานโดยพาดพิงตัวของท่านเอง ขณะที่การอภิปรายเรื่องอัลกุรอานนั้นได้นำหลักฐานมาจากตำราของอุลามาอ์ชีอะฮฺมิได้นำมาจากสมองของคุณสุไลมาน!!! ดังนั้นหากคิดจะสาบานจริงๆคุณสุไลมานก็ควรจะใช้สำนวนว่า "หากในอุลามาอ์ชีอะฮฺมีการเชื่อว่าอัลกุรอานไม่สมบูรณ์จริงๆก็ขอให้อัลลอฮฺลงโทษ" มิใช่เป็นการสาบานที่เอาความเชื่อของท่านเป็นที่ตั้ง ซึ่งก็ไม่มีใครรู้อีกว่าในใจของท่านเชื่ออะไร???



วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ลัทธิชีอะฮฺกับธรรมเนียมจูบปาก!

หนึ่งในธรรมเนียมปฏิบัติอันโง่เขลาของลัทธิชีอะฮฺรอฟิเฎาะฮฺก็คือ การจูบปากเวลาที่ได้มีการพบปะกับแขกต่างเมือง โดยไม่พิจารณาทั้งสิ้นว่าปากที่ชีอะฮฺได้ดูดไปนั้นเป็นปากของกาเฟรหรือมุสลิม ดังที่ อุลามาอ์ใหญ่ของรอฟิเฎาะฮฺนามว่า อยาตุลลาต อัรรูฮานีย์ ได้ฟัตวาไว้ในเว็ปไซต์ของเขาดังนี้



ถาม: อะไรคือฮุก่ม(ข้ดตัดสิน)เกี่ยวกับการแสดงความรักด้วยการจูบในปากของเขา(จูบแบบพวกเกย์ ผู้แปล)ในความคิดของคุณ?

ตอบ: ถ้าท่านทำแบบมีเลสนัยแอบแฝง เช่นนี้ไม่อนุญาติ แต่ถ้าไม่ ก็เป็นที่อนุญาติ


สิ่งที่ต้องตั้งคำถามหลังจากได้อ่านฟัตวานี้ก็คือ อะไรคือเลศนัยหรือบริสุทธิ์ใจที่เขาหมายถึง? เอาอะไรเป็นตัวชี้วัดว่าจูบแบบไหนมีเลศนัยและดูดปากแบบไหนจึงจะเรียกว่าดูดปากแบบบริสุทธิ์ใจ?

เราคงไม่มีอะไรจะวิภาษให้แก่ท่านผู้อ่านได้ทราบกันอีกนอกจากให้ท่านได้ดูภาพถ่ายที่สะท้อนตัวตนแห่งคำสอนของเขาได้ดีที่สุดเหล่านี้

1. ประธานาธิบดีอะมะดีเนจาด กับการจูบปากอย่างดูดดื่มกับพวกยิว







2. อะลีคอมาเนอี ผู้นำสูวสุดของอิหร่านที่ชีอะฮฺนับถือดูดปากเยี่ยมไข้ผู้ป่วย



3. มุลลอฮฺ บากิรอัลหะกีม อุลามาอ์ใหญ่ของชีอะฮฺในอิรัค ดูดปากกับเด็กชาย



4. รัฟซันญานีและแกนนำของอิหร่านกับการจูบปากกับแขกต่างเมือง



5. อุลามาอ์ชีอะฮฺในอิรัค กับการจูบปากแลกลิ้นต้อนรับศัตรูอิสลามผู้ยึดครองอิรัค





วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

คำถาม 2 ข้อสำหรับชีอะฮฺรอฟิเฎาะฮฺ

ข้าฯมีความประสงค์จะให้เหล่าชีอะฮฺตลอดจนพี่น้องมุสลิมได้รับชมวีดีโอชิ้นนี้ เพื่อจะนำไปสู่คำถามแก่พวกชีอะฮฺอิมามียะฮฺ ซึ่งจะเป็นเครื่องชี้วัดถึงความศรัทธาของพวกเขา
ชี้แจงก่อนรับชม
ภาพคลิปวิดีโอชิ้นนี้ถ่ายมาจากมัสยิดแห่งหนึ่งในคูเวต ซึ่งเป็นบรรยากาศในพิธีกรรมของพวกลัทธิชีอะฮฺ ตัวผู้เทศนาคือ อัลลามะฮฺ ฮุซัยนฺ อัลฟะฮีด ผู้รู้ชาวชีอะฮฺในคูเวตซึ่งแต่เดิมเป็นชาวซาอุดีอารเบียและต่อมาได้ลี้ภัยออกจากซาอุดีอารเบียมาพำนักในคูเวต อนึ่ง อัลลามะฮฺ ฮุซัยนฺ อัลฟะฮีด ถือเป็นอุลามะอฺชีอะฮฺที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับจากประชาชนชีอะฮฺชาวคูเวต อีกทั้งยังเป็นประธานองค์กรของพวกชีอะฮฺในคูเวตที่ชื่อว่า "อะซาด อัลวิลายะฮฺ" ดังนั้นอยากจะบอกชีอะฮฺอิมามียะฮฺในไทยว่อย่าฉวยโอกาสปฏิเสธผู้รู้รายนี้ของชีอะฮฺเพียงเพราะเห็นว่าไม่ได้สวมใส่สาระบั่นหนาเตอะเหมือนพวกซัยยิด(ปลอม)และเชคชีอะฮฺตามบ้านเรา ขอเชิญรับชมวิดีโอได้ครับ
คำแปล จากวีดีโอ
เป็นบทกวี แปลได้ใจความว่า
"อะลี โอ้ผู้เป็นพระพักต์ของพระผู้อภิบาลแห่งสากลจักรวาล โอ้ ผู้เป็น ความลับแห่งความสามารถของพระองค์อัลลอฮฺ และเป็นลิ้นของอัลกุรอาน!!! โอ้อะลี ผู้สอนแก่ท่านนบีอดัม(อลัยฯ) ถึงวิธีการอภัยโทษต่อพระองค์อัลลอฮฺหลังจากความผิดพลาดและบาปของเขา!!!!!!(หมายถึงหลังจากท่านนบีอดัมได้ฝ่าฝืนพระองค์อัลลอฮฺโดยการเข้าถูกล่อลวงจากอิบลีส) โอ้ อะลี มีนักกวีคนหนึ่งคนใดบ้างไหมที่สามารถพรรณา(ถึงความสูงส่ง)ในตัวท่านได้ และต่อไปจนจบคลิป


บทสรุปจากวิดีโอชิ้นดังกล่าวที่อุลามะอฺชีอะฮฺคนนี้มีต่ออะลี
1. ท่านอะลีคือพระพักตร์ของพระองค์อัลลอฮฺ
2.ท่านอะลีคือ ความลับในเรื่องที่เกี่ยวกับความสามารถหรือเดชานุภาพของพระองค์อัลลอฮฺ
3.ท่านอะลีคือลิ้นของอัลกุรอาน
4.ท่านอะลีคือผู้สอนท่านนบีอะดัมถึงวิธีการเตาบะฮฺ(เรื่องนี้ขัดกับความจริงเพราะใครจะทำใจเชื่อได้ว่าตอนนั้นท่านอะลีเกิดเป็นตัวเป็นตนแล้ว)


คำถามสำหรับชีอะฮฺ กรุณาตอบอย่าเลี่ยง
1. ชีอะฮฺยอมรับหรือไม่ว่าคำกล่าวยกย่องท่านอะลีของ อัลลามะฮฺ ฮุซัยนฺ อัลฟะฮีด ว่าถูกต้อง หรือชีอะฮฺปฏิเสธมันว่าไม่ถูกต้อง ได้โปรดกรุณาตอบแค่ว่า "ถูก" หรือ "ไม่ถูก"
ตอบ ......................

2. หลังจากรับชมวีดีโอนี้แล้ว ชีอะฮฺยอมรับว่า อัลลามะฮฺ ฮุซัยนฺ อัลฟะฮีด เป็นอุลามะอฺของชีอะฮฺอิมามียะฮฺหรือไม่ ได้โปรดตอบแค่ว่า "ยอมรับ" หรือ "ไม่ยอมรับ"
ตอบ.............................

คิดให้ดีก่อนตอบ เพราะมันเกี่ยวกับอะกีดะฮฺ
หากตอบได้กรุณาแสดงความเห็นมาที่ช่องแสดงความเห็นข้างล่างนี้

วัสสลาม

เพียงแค่อิมามตรัสว่า"จงเป็น"มันก็จะ"เป็น"

ผู้คนส่วนมากในบ้านเราเมื่อจะพิจารณาถึงหลักความเชื่อในเรื่องของ "ผู้นำ" หลังจากนบีหรือเรื่องของ "อิมามะฮฺ" ตามหลักความเชื่อถือของพวกลัทธิรอฟิเฎาะฮฺแล้ว ก็มักจะศึกษาอย่างฉาบฉวยเพียงแค่ว่า มีหลักฐานเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวไหม? ท่านนบีแต่งตั้งท่านอะลีให้เป็นผู้นำที่ฆอดีรคุมไหม? หะดิษ 12 คอลีฟะฮฺคือผู้นำของพวกรอฟิเฎาะฮฺใช่ไหม? เป็นต้น ซึ่งหากเราศึกษาประเด็นเหล่านี้อย่างฉาบฉวยจากการนำเสนอของพวกรอฟิเฎาะฮฺที่จะพยายาม "ฝืน" โดยนำหลักฐานมาอธิบายอย่างบิดเบือน ก็มักจะทำให้คนที่ขาดความรู้เกิดการหลงไหลและสุดท้ายก็เข้ารีตเดินหน้าสู่ความเป็นรอฟิเฎาะฮฺไปในที่สุด โดยเพียงแค่นึกฝันเอาเองว่ามีหลักฐานที่สนับสนุนความเชื่อเรื่อง "อิมามะฮฺ" ของฝ่ายรอฟิเฎาะฮฺ ทั้งๆที่หากเราพิจารณาถึงเนื้อแท้ของความเชื่อเรื่องอิมามะฮฺที่ถูก "ซ่อนเร้น" ไม่เปิดเผยจากอุลามาอ์ฝ่ายรอฟิเฎาะฮฺแล้ว ผมเองก็มั่นใจหลือเกินว่าคงไม่มีใครที่คิดจะอ้อมแขนรับความเชื่อเรื่อง "ผู้นำที่ถูกแต่งตั้ง" จากนบีตามจินตนาการของฝ่ายรอฟิเฎาะฮฺเป็นแน่แท้ อุปมาเรื่องผู้นำหลังจากนบีโดยมีฉากอยู่ที่ฆอดีรคุมซึ่งฝ่ายรอฟิเฎาะฮฺพยายามจะนำเสนอ ก็อุปมัยดังเรื่อง ความเมตตาของพระเยซูที่สละชีพเพื่อล้างบาปแก่ชาวโลกซึ่งฝ่ายคริสเตียนพยายามจะโน้มน้าวแก่ผู้คนในการเผยแพร่เสมอๆ กล่าวคือ หากเราได้เคยมีโอกาศรับฟังเหตุผลและการนำเสนอถึงความเมตตาและสถานภาพของพระเยซูที่ยอมสละชีพเพื่อไถ่บาปชาวโลกแล้ว เราก็มักหลงไหลได้ปลื้มไปกับความยิ่งใหญ่ในตัวของพระเยซูซึ่งมากมายเหลือเกินที่มันสามารถเปลี่ยนคนต่างศาสนิกอื่นๆที่มิใช่มุสลิมให้รับศาสนาคริสต์ได้แต่ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนมุสลิม ซึ่งการที่มุสลิมไม่ยอมเปลี่ยนตัวเองไปรับนับถือศาสนาคริสต์นั้นหาใช่เกิดจากการไม่ศรัทธาต่อพระเยซูหรือนบีอีซา(อลัยฮิสสลาม)แต่อย่างใดไม่ แต่เกิดจากการที่มุสลิมรู้ดีถึงแก่นแท้ในหลักความเชื่อเรื่อง "ตรีเอกานุภาพ" ที่ฝ่ายคริสเตียนได้หยิบยกพระเยซูเป็นภาคหนึ่งของพระเจ้าไป ดังนั้นต่อให้เหตุผลเบื้องหน้าในเรื่องของพระเยซูจะดีเลิศน่ารับฟังเต็มไปด้วยเหตุผลหลักฐานมากเพียงใด มุสลิมก็ไม่ "ฉาบฉวย" พอที่จะน้อมรับอากีดะฮฺคริสเตียนอย่างขาดวิจารณญาณนอกจากคนที่ไม่ใช่มุสลิมซึ่งไม่มีพื้นฐานเรื่อง "เตาฮีด" เท่านั้นที่จะน้อมรับเรื่องดังกล่าวได้ และเช่นกัน การที่ชาวซุนนะฮฺไม่ยอมน้อมรับหลักความเชื่อเรื่องอิมามะฮฺของฝ่ายรอฟิเฎาะฮฺนั้นหาได้เกิดจากการที่ฝ่ายซุนนะฮฺเกลียดชังในลูกหลานนบี,ปฏิเสธเหตุการณ์ที่ฆอดีรคุม,ปฏิเสธหะดิษษะกอลัยนฺ(สิ่งหนักสองสิ่ง)และอื่นๆแต่อย่างใดไม่ แต่การที่นักปราชญ์ผู้ทรงภูมิธรรมของฝ่ายซุนนะฮฺได้ปฏิเสธเรื่องดังกล่าวไปนั้นก็สืบเนื่องจาก "หลักความเชื่อที่เลยเถิด" ของฝ่ายรอฟิเฎาะฮฺที่มีต่อบรรดาอิมามที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นผู้นำหลักจากนบีตลอดจนความเข้าใจถึงข้อเท็จจริงของหะดิษต่างๆที่ฝ่ายรอฟิเฎาะฮฺนิยมแอบอ้างหยิบยกมานำเสนออย่างฉาบฉวยต่างหาก ไม่ว่าจะ หะดิษฆอดีรคุมและหะดิษ 12 คอลีฟะฮฺก็ดี ดังนั้นสภาพของคนบางกลุ่มที่ตัดสินความเป็นสัจธรรมระหว่าง อะฮฺลุซซุนนะฮฺฯกับรอฟิเฎาะฮฺ เพียงแค่เหตุการณ์ที่ฆอดีรคุมหรือเรื่องผู้นำหลังจากนบี ก็ไม่ต่างอะไรกับคนต่างศาสนิกบางกลุ่มที่ตัดสินว่า "ศาสนาคริสต์คือสัจธรรม" เพียงแค่จากเรื่องราวของการสละชีพเพื่อปกป้องมวลมนุษยชาติของพระเยซูและความเมตตาอันสูงส่งของท่านนั่นเอง จะต่างกันก็ตรงที่ว่าการที่มุสลิมส่วนใหญ่ไม่ได้น้อมรับหลักความเชื่อเรื่องพระเยซูมิใช่ว่าไม่ศรัทธาต่อนบีอีซา แต่เกิดจากเหตุผลที่ว่าคริสเตียนเชื่อในพระเยซูอย่างไม่ถูกต้องโดยยกท่านเป็นพระเจ้า แต่สำหรับการที่มี "มุสลิมบางจำพวก" ได้หันหน้าเข้ารีตสู่ลัทธิรอฟิเฎาะฮฺชีอะฮฺ ก็สืบเนื่องจากว่า "ความไม่เดียงสา" ต่อเนื้อแท้ของหลักความเชื่อในเรื่องอิมามะฮฺของฝ่ายรอฟิเฎาะฮฺที่ได้เลยเถิดหยิบยกมนุษย์เป็นพระเจ้า แต่แนบเนียนกว่าตรงที่ "ปกปิด" ไม่ยอมนำเสนอแก่คนเอาวาม เพราะกลัวว่าคนจะไม่รับแนวทางชีอะฮฺหากรู้ความจริงดังกล่าวนี้!!! ดังนั้นก็เลยนำเสนอเรื่องราวเพียงแค่ว่า ท่านนบีแต่งตั้งท่านอะลีเป็นอิมามจริงไหม? หรือท่าน 3 คอลีฟะฮฺแรกของอิสลามขึ้นดำรงตำแหน่งอย่างชอบธรรมหรือไม่? ซึ่งเป็นเรื่องที่ฉาบฉวยในการหาข้อสรุปเป็นอย่างยิ่ง

1. แก่นแท้ของหลักความเชื่อเรื่อง "อิมาม" หรือผู้นำหลังจากท่านนบีของฝ่ายรอฟิเฎาะฮฺ

ถึงจุดนี้ข้าพเจ้าจะขอนำเสนอถึงแก่นแท้ของความเชื่อของฝ่ายรอฟิเฎาะฮฺที่มีต่อผู้นำหลังจากนบี โดยจะขอหยิบยกคำบรรยายของปราชญ์ชั้นสูงของฝ่ายรอฟิเฎาะฮฺมานำเสนอกัน ซึ่งจะพิสูจน์ให้เห็นว่าโดยแก่นแท้แล้ว ผู้นำหลังจากท่านนบีในหลักความเชื่อของฝ่ายรอฟิเฎาะฮฺนั้นไม่แตกต่างอะไรกับพระเจ้าหรือหลักความเชื่อในแบบคริสเตียนที่ได้หยิบยกมนุษย์เป็นพระเจ้านั่นเอง!!!

อัลลามะฮฺ อัลฟากีฮฺ ซัยยิดมุฮัมมัด ริฏอ อัชชัยรอศีย์




ปราชญ์ผู้โด่งดังของรอฟิเฎาะฮฺรายนี้มาจากประเทศอิรัคซึ่งเขาได้บรรยายถึงแก่นแท้ในหลักความเชื่อที่แท้จริงของฝ่ายรอฟิเฎาะฮฺที่มีต่อบรรดา "มนุษย์ทั้ง 12 คน" ที่พวกเขาเชื่อว่านบีได้เลือกสรรให้เป็นผู้นำของอุมมะฮฺอิสลามหลังจากท่านไว้ว่า


"เมื่อใดที่เราได้เรียกหา,ได้สวดอ้อนวอนและขอความจำเริญในปัจจัยยังชีพและความต้องการทางด้านสังคมจากบรรดาอิมาม พึงรู้ไว้เถิดว่าท่านกำลังขอจากบรรดาอิมามผู้ซึ่งทรงอำนาจในการควบคุมดูแลบริหารสากลจักรวาลและทุกๆสิ่ง(บนโลกนี้) และเมื่อใดก็ตามที่บรรดาอิมามได้กล่าวแก่บางสิ่งว่า "จงเป็น"มันก็ "เป็น" ตามที่อิมามได้กล่าวไป (กุนฟะยะกูน)"

ข้อความดังกล่าวนี้ ถอดความมาจากคำบรรยายของเจ้าตัวที่






ซึ่งท่านผู้อ่านสามารถตรวจสอบได้

จากคำบรรยายที่สะท้อนให้เห็นถึงแก่นแท้ของหลักความเชื่ออันแท้จริงในเรื่อง "อิมาม" ของฝ่ายรอฟิเฎาะฮฺจากนักวิชาการรอฟิเฎาะฮฺรายนี้จึงสามารถสรุปออกมาให้เห็นถึงความขัดแย้งกับอิสลามออกเป็น 3 ประการดังนี้

1. รอฟิเฎาะฮฺสามารถสวดอ้อนวอนขอความจำเริญจากบรรดาอิมามของพวกเขาได้

สิ่งนี้ถือเป็นการกระทำที่สวนทางกับหลักการของอัลอิสลามดังคำดำรัสในอัลกุรอานความว่า

{ إِيَّاكَ نَعْبُدُ وَإِيَّاكَ نَسْتَعِينُ }
เฉพาะพระองค์เท่านั้นที่พวกข้าพระองค์เคารพอิบาดะฮฺ (*1*) และเฉพาะพระองค์เท่านั้นที่พวกข้าพระองค์ขอความช่วยเหลือ (*2*) (อัลฟาติฮะฮฺ:5)

(1) คือมอบการเคารพอิบาดะฮฺทุกประเภท่ให้แก่พระองค์ แต่เพียงองค์เดียวเท่านั้น โดยปราศจากการให้ผู้หนึ่งผู้ใด หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดมีหุ้นส่วนในการอิบาดะฮฺดังกล่าว เป็นต้นว่า การวิงวอนขอความช่วยเหลือ การบน การสาบาน และการเชือด ฯลฯ
(2) ขอความช่วยเหลือในสิ่งที่อยู่นอกเหนือกฏสภาวการณ์ หรือสิ่งที่ไม่อยู่ในความสามารถของมนุษย์ที่จะให้ความช่วยเหลือได้


2. รอฟิเฎาะฮฺเชื่อว่าบรรดาอิมามมีอำนาจในการควบคุมจักรวาล
สิ่งนี้เป็นสิ่งที่รับไม่ได้ด้วยประการทั้งปวงและขัดแย้งกับโองการอัลกุรอานความว่า

{ لَّهُ مُلْكُ ٱلسَّمَٰوَٰتِ وَٱلأَرْضِ وَإِلَى ٱللَّهِ تُرْجَعُ ٱلأُمُورُ }

อำนาจอันเด็ดขาดแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินนั้นเป็นสิทธิ์ของพระองค์ และการงานทั้งหลายถูกให้กลับไปยังอัลลอฮ.เท่านั้น (*1*) (อัลหะดีด:5)

(1) ทุก ๆ สิ่งย่อมกลับไปหาอัลลอฮ. พระผู้สร้างและพระผู้จัดระบบ ทรงตัดสินชี้ขาดตามที่พระองค์ทรงประสงค์
3. รอฟิเฎาะฮฺอ้างว่าหากอิมามกล่าวสิ่งใดว่า "จงเป็น" มันก็ "เป็น" (กุนฟะยะกูน)ไปตามที่อิมามได้กล่าวไว้สิ่งนี้ถือเป็นการยกบรรดาอิมามให้เสมอเหมือนกับพระองค์อัลลอฮฺอย่างชัดแจ้งเพราะพระองค์ทรงกล่าวว่า
{ بَدِيعُ ٱلسَّمَٰوَٰتِ وَٱلأَرْضِ وَإِذَا قَضَىٰ أَمْراً فَإِنَّمَا يَقُولُ لَهُ كُنْ فَيَكُونُ }

พระองค์ผู้ทรงประดิษฐ์ชั้นฟ้า และแผ่นดิน และเมื่อพระองค์ทรงกำหนดสิ่งใดแล้วพระองค์ก็เพียงแต่ประกาศิตแก่สิ่งนั้นว่า จงเป็นแล้วสิ่งนั้นก็จะเป็นขึ้น-กุนฟะยะกูน- (อัลบะกอเราะฮฺ:117)

สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้หาใช่การใส่ไคล้อย่างเลื่อนลอยหรือนั่งเทียนเขียนโจมตีฝ่ายรอฟิเฎาะฮฺอย่างที่พวกเขามักจะโฆษณาหลอกผู้คนกัน


เมื่อสองอยาตุลลาตยอมรับว่าอัลกุรอานฉบับปัจจุบันไม่สมบูรณ์!!

ต่อไปนี้คือเทปบันทึกเสียงที่ถูกเปิดโปงจนฉาวโฉ่ไปแล้วในโลกอาหรับซึ่งเป็นเทปบันทึกเสียงคำสอนของอุลามาอ์รอฟิเฎาะฮฺชื่อดังทั้งสองคนซึ่งก็คือ

1. อยาตุลลาต อะลี กูรอนี เป็นอุลามาอ์ผู้โด่งดังจากเลบานอนอีกทั้งยังเป็นอาจารย์ของ ดร.อิซอมุลอิมาต

2.อยาตุลลาต อัลกอซิม อัลฮาอิรีย์ เกิดที่อิหร่านแต่ไปเป็นอุลามาอ์ที่กัรบาลาอฺ(เสียชีวิตแล้ว)

สำหรับ ไฟล์เสียงดังกล่าวฟังได้ที่นี่เลย






คำแปลไฟล์เสียง

คนที่ 1. อยาตุลลาต อะลี กูรอนี



“และสำหรับประเด็นในเรื่องที่บอกว่าอัลกุรอานถูกเปลี่ยนแปลงนั้นอุ ลามาอ์ชีอะฮฺส่วนหนึ่งกล่าวว่ามีโองการในอัลกุรอานที่ได้ถูกเปลี่ยนแปลง แก้ไขไปแล้ว และส่วนหนึ่งกล่าวว่ามีโองการที่ไม่ถูกต้องปรากฏอยู่ แต่อุลามาอ์ของเราส่วนมากเห็นพ้องต้องกันว่ามีโองการที่ไม่ถูกต้องปรากฏ อยู่(ในอัลกุรอานฉบับปัจจุบัน)ซึ่งเป็นสิ่งที่มีน้ำหนัก ตลอดจนมีอุลามาอ์ชีอะฮฺบางส่วนกล่าวว่าบางโองการของอัลกุรอานได้ถูกตัดทอนลบออกไปจากอัลกุรอาน ได้ถูกตัดทอนลบออกไปจากอัลกุรอาน ได้ถูกตัดทอนลบออกไปจากอัลกุรอาน”


คนที่ 2. อยาตุลลอฮฺ กอซิม อัลฮาอิรีย์


“อัลกุรอานที่ถูกต้องและแท้จริงอยู่กับท่านอิมามอะลี และต่อมาก็ได้ถูกสืบทอดโดยท่านอิมามฮะซันและต่อมาก็อยู่กับท่านฮุเซน และอัลกุรอานที่ถูกต้องในขณะนี้นั้นอยู่กับอิมามมะฮฺดี ซึ่งเมื่อถึงคราวที่ท่านปรากฏตัวใกล้วันกิยามะฮฺ ท่านจะเอามันมาด้วย ซึ่งอัลกุรอานที่เรามีอยู่ในขณะนี้ก็มีความน่าเชื่อถืออยู่ เพียงแต่มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขบางอย่างภายในมัน อุลามาอ์บางส่วนกล่าวว่า มันไม่สมบูรณ์และอุลามาอ์บางส่วนกล่าวว่ามันได้สูญหายไป และนี่คืออากีดะฮฺของพวกเรา นี่คืออากีดะฮฺของพวกเรา นี่คืออากีดะฮฺของพวกเรา!!!


คำถามสำหรับรอฟิเฎาะฮ์
1.ฮุ กุ่มแก่คนทั้งสองคืออะไร กาเฟร หรือ มุสลิม?
2.ทั้งสองพูดถูกแล้ว หรือว่ารอฟิเดาะฮ์ที่เชื่อต่างจากทั้งสองเป็นฝ่ายผิด?

มีภรรยาเด็กจะทำอย่างไรดี??มาดูรอฟิเฎาะฮฺเขาสอนกัน

 แท้จริงนั้นอิสลามห้ามการเล่นลามก ห้ามการทำอนาจาร และที่สำคัญห้ามการร่วมประเวณีกับเด็กหญิงที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะนี่คือ ความบริสุทธิ์ของอิสลามที่ได้ถักทอผู้ศรัทธาให้สะอาดปลอดพ้นจากด้านมืดของตัวมนุษย์ ดังที่พระองค์อัลลอฮฺทรงตรัสไว้ว่า
 
“แท้จริงอัลลอฮ์ ทรงใช้ให้รักษาความยุติธรรมและทำดีและการบริจาคแก่ญาติใกล้ชิดและให้ละเว้น จากการทำลามกและการชั่วช้า” ซูเราะฮฺ อันนะหฺลฺ:90
 
อย่างไรก็ตามความบริสุทธิ์เหล่านี้ยังไม่วายโดนหาช่องว่างจากกลุ่มลัทธิรอฟิเฎาะฮฺชีอะฮฺ ด้วยการที่พวกเขาออกมาฟัตวาว่าการใช้อวัยวะเพศชายถูไถหาความสุขระหว่างขาอ่อนของเด็กผู้หญิงนั้นเป็นที่     หะล้าลแม้กระทั่งเด็กทารกก็ตาม!!!! สิ่งเหล่านี้หาใช่การใส่ร้ายใส่ไคล้ แต่เป็นสิ่งที่ถูกเปิดโปงจากตำราของผู้นำชีอะฮฺเอง และที่สำคัญผู้นำคนนี้หาใช่ใครไม่ แต่มันคือผู้นำทางจิตวิญญาณสูงสุดอันเป้นที่เคารพรักของชีอะฮฺทั่วโลกดุจดั่งบิดรมารดานามว่าโคไมนี่นั่นเอง



ในหนังสือฟิกฮ์(นิติศาสตร์) เล่มหนาที่โคไมนี่เขียนเอง ชื่อว่า “ตะฮฺรีลอัลวะซิละฮฺ” นั้นเจ้าตัวได้ฟัตวาไว้ดังนี้


"ไม่เป็นที่อนุมัติในการที่จะมีเพศสัมพันธ์กับภรรยาที่มีอายุยังไม่ถึง 9 ขวบไม่ว่าจะเป็นเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากการแต่งงานถาวรหรือการแต่งแบบมุตอะฮฺก็ตาม(แต่งชั่วคราว) แต่กรณีของการสวมกอดนางด้วยความใคร่หรือการแสวงหาความสุขด้วยการเอาองคชาตถูไถหาความสุขตรงบริเวณขาอ่อนของเจ้าหล่อนนั้นถือว่าไม่เป็นไรที่จะกระทำในสิ่งดังกล่าวแม้กระทั่งว่านางจะเป็นเด็กทารกก็ตาม!!"

มาชาอัลลอฮฺ ลัทธิชีอะฮฺรอฟิเฎาะฮฺช่างชั่วช้าหมกมุ่นอะไรถึงปานนี้
นี่หรือคือผุ้นำที่ชีอะฮฺยกย่องดุจดั่งบิดามารดา
นี่หรือคือผู้นำที่ชีอะฮฺภาคภูมิใจ
และเช่นกันย่อมไม่มีความแตกต่างระหว่างผู้สนับสนุนโคไมนี่กับตัวโคไมนี่
และเช่นกันอนาคตของเด็กผู้หญิงชีอะฮฺจะเป็นเช่นไร บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลายจงระวังไว้เถิด!!!!


และ (จงรำลึกถึง) ลูฏ เมื่อเขากล่าวแก่หมู่ชนของเขาว่า แท้จริงพวกท่านได้กระทำการลามกซึ่งไม่มีผู้ใดในหมู่มวลชนกระทำมาก่อนพวกท่าน เลย (ซูเราะฮฺ อัลอังกะบูต: 28)

และ(จงรำลึกถึง)ลูฏเมื่อเขากล่าวแก่หมู่ชนของเขาว่า “พวกท่านกระทำการลามกทั้งๆ ที่พวกท่านรู้เห็นอยู่กระนั้นหรือ ? 
(ซูเราะฮฺ อันนัมลฺ: 54)

โอ้ บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย ! พวกเจ้าอย่าคิดตามทางเดินของชัยฎอนและผู้ใดติดตามทางเดิมของชัยฎอน แท้จริงมันจะใช้ให้ทำการลามกและความชั่ว และหากมิใช่ความโปรดปรานของอัลลอฮ์แก่พวกเจ้า และความเมตตาของพระองค์แล้วก็จะไม่มีผู้ใดเลยหมู่พวกเจ้าบริสุทธิ์ แต่อัลลอฮ์ทรงให้ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์บริสุทธิ์และอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงได้ ยินผู้ทรงรอบรู้ (ซูเราะฮฺ อันนูรฺ:21)