วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2554

อบูบักรอัศศิดีกกับการลวงโลกของนายยาซีนและอ้ายโหยบ ยอมใหญ่






ผมได้รับบทความจาก มิตรสหายท่านหนึ่งซึ่งเนื้อหาในบทความดังกล่าวนั้นเป็นงานเขียนของฝ่าย ชีอะฮฺ มีเนื้อหาสาระที่ส่อไปในทางประณามโจมตีท่านอบูบักร(ตามนิสัยเดิมๆ) แรกเริ่มเดิมทีผมเห็นจะไม่ค่อยได้สนใจกับบทความไร้สาระนี้เท่าไหร่ ผมคิดเสมอว่าหากจะเอาเวลาทั้งหมดไปนั่งตอบโต้กับบทความ “หมกเม็ด” ทางวิชาการกับพวกชีอะฮฺเห็นทีคงเหนื่อยแย่ เพราะบทความประเภทนี้มีมากเหลือเกิน แต่พอเหลือบไปชำเลืองดูชื่อผู้แต่งก็ปรากฏเข้าอย่างจังว่า Abunasrin2000@hotmail.com ก็เลยนึกขึ้นได้ว่า อ๋อ นายยาซีน อุลามาชีอะฮฺที่อยู่ ณ เมืองกุมประเทศอิหร่านนี้เอง พี่น้องหลายๆคนเคยบ่นกับผู้เขียนว่านายยาซีน คนนี้มักจะส่งอีเมลเผยแพร่บทความของลัทธิชีอะฮฺอยู่ร่ำไป อีกทั้งบทความที่ชื่อ “อบูบักรฺได้สมญานาม “ศิดดีก” แต่ใดมา ?ใครเป็นผู้ตั้งฉายา “ฟารูก” ให้อุมัรฺ ?” ดูเหมือนจะสร้างความปีกกล้าขาแข็งแก่ลุกหาบชาวชีอะฮฺตามเว็บไซต์เอาการ จนถึงขนาดนายอัยยูบ ยอมใหญ่ ยังอุตส่าก็อปบทความนี้ไปลงในหน้าเว็บของเขาอันเป็นเครื่องบ่งชี้ได้ดีว่า นายอัยยูบ ยอมใหญ่เองก็ตักลีดตามนายยาซีน แบบก้าวต่อก้าว ดังนั้นผู้เขียนจึงถือว่าทั้งนายยาซีนและนายอัยยูบ มิได้มีเจตนาต่างกันเลยในความพยายามที่จะบริพาสประณามตัวท่านอบูบักรและท่า นอุมัร ดังนั้นในบทความนี้หากผู้เขียนจะขอวิจารณ์นายอัยยูบ เสียบ้างก็คงไม่ถือสากันเพราะแท้จริงนั้นผู้ที่สนับสนุนกับผู้ที่ได้รับการ สนับสนุนย่อมมีสถานะที่ไม่แตกต่างกัน!! บทความดังกล่าวนี้ปรากฏอยู่ในลิงค์นี้
http://www.yomyai.com/index.php?mo=14&newsid=112894

นายยาซีน กล่าวว่า: บนบรรทัดฐานของหะดีษตามสายรายงาน “เศาะหี๊หฺ” จากตำราชาวสุนนีย์ เป็นที่ยอมรับกันอย่างแพร่หลายว่าฉายานามทั้งสองนี้มิได้เป็นของใครอื่น นอกจากท่านอมีรุลมุอ์มินีน อะลี อิบนุอบีฏอลิบ (อลัยฮิสลาม) เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ถึงกระนั้น อุละมาอ์สุนนีย์ได้เพียรพยายามอย่างหนักที่จะ “แกะ” ฉายานามที่เต็มไปด้วยเกียรติคุณทั้งสองนี้ไป “แปะ” เป็น “แบรนด์เนม” ติดสินค้าของเคาะลีฟะฮฺทั้งสอง คือ อบูบักรฺและอุมัรฺ เราลองมาพิจารณาหะดีษและทัศนะของปวงปราชญ์ในสายธารอะฮฺลิสสุนนะฮฺกันดีกว่า 
 
วิพากษ์
: ก่อน จะเข้าสู่การวิพากษ์เนื้อหาด้านวิชาการ ผมอยากให้ท่านผู้อ่านจับประเด็นของนายยาซีน ไว้ดีๆ กล่าวคือนายยาซีนให้สัตย์ปฏิญาณว่าจะใช้บรรทัดฐานเฉพาะหะดิษ ““เศาะหี๊หฺ” เท่านั้น ดังนั้นท่านผู้อ่านจำคำนี้ให้ขึ้นใจ แล้วมาตรวจสอบดูกันว่านายยาซีน ทำตามที่สัญญาหรือจะกลับคำหรือปล่าว เพื่อที่เราจะได้ตัดสินกันว่าใครกันแน่ที่พยายามจะอุตริแกะฉายาของท่านอบู บักรและอุมัรไปแปะกับท่านอะลีกันแน่ นอกจากนี้ผู้เขียนอยากให้พี่น้องผู้อ่านได้จงตระหนักในวิทยายุทธ์ชั้นเลิศ ที่ผู้รู้ชีอะฮฺนามว่า “อบุลกอซิมอัลคูอีย์” ได้ฟัตวาไว้ว่า

السؤال: هل يجوز الكذب على المبدع أو مروج الضلال في مقام الاحتجاج عليه ، إذا كان الكذب يدحض حجته ، ويبطل دعاويه الباطلة ؟

ถาม: การโกหกต่อผู้ที่ทำบิดอะฮฺ(หมายถึงซุนนี) หรือผู้ที่สนับสนุนในสิ่งที่บิดเบือน(สิ่งที่บิดเบือนในสายตาชีอะฮฺคือสิ่ง ที่เป็นสัจธรรมของซุนนี-ผู้แปล) ถือว่าอนุญาตให้กระทำได้หรือไม่ ในระหว่างที่เรากำลังถกเถียงอยู่กับเขา

الفتوى: إذا توقف رد باطله عليه ، جاز
ตอบ : ถ้าเราได้ตอบเขาไปและนั้นสามารถหยุดยั้งความมดเท็จของเขาได้ นั้นก็ถือว่าเป็นสิ่งที่อนุญาตให้กระทำได้

ฟัตวาไร้ศีลธรรมนี้สามารถไปหาอ่านได้ในหนังสือ “ศิร็อต อันนะญาต ในหน้าที่ 447 เล่ม 1”
กล่าว โดยสรุปจากฟัตวานี้ก็คือ พวกชีอะฮฺสามารถทำการโกหกต่อชาวซุนนีได้ ด้วยเหตุนี้เราลองมาติดตามดูกันว่านายยาซีน จะใช้วิทยายุทธ์เหล่านี้หรือไม่ เพราะผู้เขียนเชื่อเหลือเกินว่านายยาซีนก็คงเป็นหนึ่งในผู้นิยมชมชอบต่ออัล คูอีอย่างแน่นอน

นายยาซีนกล่าวว่า:
عَنْ عَبَّادِ بْنِ عَبْدِ اللَّهِ قَالَ قَالَ عَلِيٌّ أَنَا عَبْدُ اللَّهِ وَأَخُو رَسُولِهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَأَنَا الصِّدِّيقُ الْأَكْبَرُ لَا يَقُولُهَا بَعْدِي إِلَّا كَذَّابٌ صَلَّيْتُ قَبْلَ النَّاسِ بِسَبْعِ سِنِينَ
سنن ابن ماجة ، ج1 ، ص 44 ، و البداية والنهاية ، ج3 ، ص 26 و المستدرك ، حاكم نيشابوري ، ج3 ، ص 112 وتلخيص ، تأليف ذهبي حاشيه ، و تاريخ طبري ، ج2 ، ص 56 ، والكامل ، ابن الاثير ، ج2 ، ص 57 و فرائد السمطين ، حمويني ، ج 1 ص 248 و الخصائص ، نسائي ، ص 46 سندي تمام روات ثقه ، و تذكرة الخواص ، ابن جوزي ، ص 108 و ....

อุละมาอ์อะฮฺลิสสุนนะฮฺมากมาย อาทิ อิบนุมาญะฮฺ ก็อซวีนีย์ ได้บันทึกในสะนัดของตนซึ่งเป็นหนึ่งใน “ศิหาหฺสิตตะฮฺ” ของโลกสุนนีย์ ด้วยสายรายงานที่ถือว่า “เศาะหี๊หฺ” ดังนี้ อิบาด อิบนุอับดิลลาฮฺ รายงานว่า “อะลี (อลัยฮิสลาม) กล่าวว่า “ฉันคือบ่าวของอัลลอฮฺ น้องชายท่านเราะสูลุลลอฮฺ (ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะอาลิฮฺ) ฉันคือ “ศิดดีกอักบัรฺ” (ผู้สัตย์จริงที่ยิ่งใหญ่) ไม่มีใครกล้าแอบอ้าง (ฉายานามนี้) หลังจากฉัน นอกจากคนผู้นั้นจะ “โป้ปดมดเท็จ” เท่านั้น ฉันนมาซก่อนใครเป็นเวลา 7 ปี”


วิพากษ์:
มายังไม่ทันไรนายยาซีนก็ทำการ “ตระบัดสัตย์ครั้งใหญ่” เสีย แล้ว ปากก็พึ่งบ่นอยู่ปาวๆว่าจะใช้บรรทัดฐานของฮะดิษศอเฮี๊ยฮ์จากฝ่ายซุนนี เท่านั้น แต่นี้ยังไม่ทันไรกลับใช้ลูกไม้การโกหก โดยนำเอาหะดิษ ดออีฟ(อ่อน) มาหมกเม็ดว่าเป็นหะดิษศอเฮี๊ยฮ์และนำเสนอหลอกชาวบ้านตาดำๆอีกแล้ว น่าละอายใจจริงๆจะนำเสนอเรื่องความเป็น “ผู้สัตย์จริง” ของท่านอะลีแท้ๆแต่กลับ “เสียสัตย์” เพื่อท่านอะลี เพียงแค่เริ่มยกแรก มวยที่เคยประกาศว่าลูกไม้ลายมือดีที่แท้ก็กลายเป็นมวยวัดไปเสียฉิบ เซ็งเลย!!
หะดิษที่นายยาซีน นำเสนอมานั้นคือหะดิษดออีฟ สืบเนื่องมาจากว่าในสายรายงานดังกล่าวมีผู้รายงานที่ชื่อว่า “อิบาด อิบนุ อับดิลละฮฺ” อันที่จริงประเด็นเรื่องหะดิษอะลีคือผู้สัตย์จริงที่ยิ่งใหญ่นี้นั้น ก็เป็นประเด็นเก่าๆที่โบราณ ซึ่งเคยถูกกล่าวไว้ในหนังสือของ “จอมตระบัดสัตย์ตัวใหญ่” นามว่า ดร.มุฮัมมัด อัตตีญานี ในหนังสือ “ชีอะฮฺคือซุนนะฮฺ(ปลอม)ที่แท้จริง” มาแล้ว และที่สำคัญประเด็นดังกล่าวนี้ก็เคยถูกตอบโต้จนนายตีญานี เสียคนและตกกระป๋องไปจากโลกชีอะฮฺไปแล้ว แต่ผมเองก็ไม่ทราบว่าทำไมนายยาซีนถึงยังดักดานใช้ประเด็นเหล่านี้หากินอยู่ อีก อย่างนี้จะเรียกว่าเชยขวาตกขอบได้รึปล่าวนะ? ท่านชัยคฺอุษมาน คอมิส ได้กล่าวหักล้างหะดิษต้นนี้ไว้ในหนังสือ “กัชฟุลญานีฯ” (เปิดโปงจอมลวงโลก) ซึ่งเป็นหนังสือที่ท่านทำขึ้นมาเพื่อตอบโต้หนังสือทั้งสี่เล่มของนายตีญานี ไว้ว่า
هذا حديث موضوع فيه عباد بن عبد الله قال علي بن المديني: ضعيف.
“นี่คือหะดิษปลอมซึ่งในสายรายงานของมันนั้นมีอิบาดบินอับดิลละฮฺ ซึ่งท่านอะลี อัลมะดินีย์ได้กล่าวไว้ว่า "ดออีฟ” (หนังสือ กัชฟุลญานี มุฮัมมัดอัตตีญานี หน้าที่ 391)

قول علي رضي الله عنه : أنا عبد الله وأخو رسول الله ، أنا الصديق الأكبر ، لا يقولها بعدي إلا كاذب ، صليت قبل الناس بسبع سنين .
رواه النسائي في الخصائص . وفي إسناده : عباد بن عبد الله الأسدي ، وهو المتهم بوضعه .
وقال ابن المديني : ضعيف الحديث .
وذكره ابن حبان في الثقات ( 551 )
وقال في الميزان : هذا الحديث كذب على علي . وقد أخرجه الحاكم في المستدرك . وقال : صحيح على شرط الشيخين . وتعقبه الذهبي بأن عبادا : ضعيف
คำพูด ของท่านอาลี ขออัลลอฮ์ทรงพอพระทัยต่อท่านด้วย : ฉันคือบ่าวของอัลลอฮ์ และเป็นพี่น้องกับศาสนทูตของอัลลอฮ์ และฉันคือผู้สัจจริงที่ยิ่งใหญ่ จะไม่มีใครอ้างคำพูดนี้หลังจากฉัน นอกจากผู้ที่โกหกเท่านั้น ฉันได้ละหมาดก่อนคนอื่นนานถึงเจ็ดปี
อัลนะซาอีย์ ได้บันทึกฮะดีษบทนี้ไว้ใน “อัลค่อศออิศ” และในสายรายงานนี้ มีผู้รายงานชื่อ อับบาด อิบนิ อับดิลลาอ์ อัลอะซะะดีย์ เขาเป็นผู้กุฮะดีษเท็จ อิบนุลมะดีนีย์ กล่าวว่า เป็นฮะดีษฏออีฟ และใน “อัลมีซาน” ได้กล่าวว่า ฮะดีษนี้กล่าวเท็จต่อท่านอาลี และอัลฮากิม ได้บันทึกไว้ในอัลมุสตัดร๊อก และกล่าวว่า ศอเฮียะห์ตามเงื่อนไขของบุคอรีและมุสลิม แต่อัซซะฮะบีย์ได้กล่าวในตอนท้ายว่า แท้จริงผู้รายงานที่ชื่อ อับบาด นั้นฏออีฟ (อัลฟะวาอิด อัลมัจญ์มัวอะห์ โดยอิหม่ามอัซเซากานีย์ ลำดับที่ 42)
เมื่อท่านอิหม่าม อัซเซากานีย์ เปิดประเด็นว่า ผู้รายงานฮะดีษบทนี้ชื่อ อับบาด บินอับดิลลาฮ์ อัลอะสะดีย์ เป็นคนที่เชื่อถือไม่ได้โดยอ้างข้อความที่ระบุอยู่ใน “มีซาน” หมายถึงตำราตรวจสอบประวัติผู้รายงานฮะดีษชื่อ “มีซานุ้ลเอียะอ์ติดาล โดยท่านฮาฟิซ อัซซะฮะบีย์ เราจึงต้องติดตามไปดูข้อความที่ได้กล่าวอ้างดังนี้
ท่านฮาฟิซ อัซซะฮะบีย์ ได้วิจารณ์ ไว้ในหนังสือ “มีซานนุ้ลเอียะอ์ติดาล” ว่า

عباد بن عبد الله الأسدي عن علي . قال البخاري : سمع منه المنهال ابن عمرو . فيه نظر .قلت : روى العلاء بن صالح حدثنا المنهال عن عباد بن عبد الله عن علي قال : أنا عبد الله وأخو رسول الله وأنا الصديق الأكبر وما قالها أحد قبلي ولا يقولها إلا كاذب مفتر ولقد أسلمت وصليت قبل الناس بسبع سنينقلت : هذا كذب على علي .قال ابن المديني : ضعيف الحديث وذكره ابن حبان فى الثقات له فى خصائص علي
อับบาด บินอับดิลลาฮ์ อัลอะสะดีย์ รายงานจากท่านอาลี, ซึ่งท่านอิหม่ามบุคอรีย์ กล่าวว่า อัลมินฮาล อิบนิอัมร์ ได้ฟังเรื่องราวมาจากเขา แต่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของเขา

ฉัน (อัซซะฮะบีย์) กล่าวว่า อัลอะลาอ์ อิบนุ ศอและห์ รายงานว่า อัลมินฮาล เล่าให้เราฟังจาก อับบาด บินอับดิลลาฮ์ จากอาลี โดยกล่าวว่า “ฉันคือบ่าวของอัลลอฮ์ และเป็นพี่น้องกับท่านรอซูล, ฉันคืออัศศิดดีก (ผู้สัจจริง) ที่ยิ่งใหญ่ จะไม่มีผู้ใดกล่าวอ้างเช่นนี้ก่อนหน้าฉัน เขาจะไม่กล่าวเช่นนั้นนอกจากผู้ที่โกหกปลิ้นปล้อน เพราะฉันได้รับอิสลาม และละหมาดก่อนคนอื่นเป็นเวลาเจ็ดปี” ฉัน (อัซซะฮะบีย์) กล่าวว่า นี่คือการโกหกต่อท่านอาลี อิบนุมะดีนีย์ กล่าวว่า เป็นฮะดีษฏออีฟ (อ่อน) และอิบนุฮิบบาน ได้กล่าวไว้ใน “อัซซิกกอต” เกี่ยวกับเรื่องคุณลักษณะของท่านอาลี (มีซานนุ้ลเอียะอ์ติดาล เล่มที่ 2 หน้าที่ 368 ลำดับที่ 4126)
ท่านอิบนุ้ลเญาซีย์ ได้กล่าวว่า ฮะดีษบทนี้อุปโลกน์ กุเท็จโดยอับบาด บินอับดิลลาฮ์ (ดูอัลเมาดัวอาต เล่มที่ 1 หน้าที่ 341)
นอกจาก นี้แล้ว นักวิชาการฮะดีษร่วมสมัย เช่นท่านอัลบานีย์ ได้วิจารณ์ฮะดีษบทนี้ไว้ว่า เป็นฮะดีษอุปโลกน์ (อัลซิลซิละห์ อัดฏออีฟะห์ เล่มที่ 10 ลำดับที่ 4947)
قال البخارى:فيه نظر و قال ابن الجوزى:هذا حديث موضوع
ท่า นอิมามบุคอรีได้กล่าวว่าหะดิษนี้นั้นในสายรายงานของมันนั้นจำต้องพิจารณาและ ท่านอิบนฺเญาซีย์ ได้กล่าวว่า หะดิษนี้คือหะดิษปลอม (อัลเมาฎูอาต เล่มที่ ๑ หน้า ๑๔๓)
เอาล่ะเห็นอย่างนี้แล้วก็คงจะละอายได้บ้างนะท่านเชคยาซีนกับ ท่านอัยยูบ ยอมใหญ่ รีบๆไปลบซะเถอะนะ บทความที่ว่านะ ไม่งั้นจะโดนข้อหานำ หะดิษเก๊มาหลอกชาวบ้านอันจะเป็นการกระทำผิดที่เข้าข่ายอนุมติให้โกหกเพื่อ เอาชนะซุนนีตามที่อัลคูอีย์ฟัตวาไว้ซึ่งข้าฯได้กล่าวไปในตอนต้นของบทความ โน้นแล้ว
บทเรียนที่ควรจำ นี่คือการโกหกครั้งที่ 1 ของนายยาซีน และนายอัยยูบ ยอมใหญ่ก็สวมรอยตามครับ



นายยาซีน:
في الزوائد : هذا إسناد صحيح . رجاله ثقات .

رواه الحاكم في المستدرك عن المنهال . وقال : صحيح على شرط الشيخين
“ฮัยษะ มีย์” ผู้ตรวจสอบความถูกต้องของ “สุนันอิบนุมาญะฮฺ” ได้ยืนยันใน “มัจญ์มะอุซซะวาอิด” ว่า “สะนัดหรือสายรายงานดังกล่าว “เศาะหี๊หฺ” และผู้รายงานหะดีษนี้ “ษิกกอต” เชื่อถือได้
ท่านหากิม นีชาบูรีย์ ได้รายงานหะดีษบทนี้เช่นเดียวกัน โดยกล่าวว่า “เมื่อนำริวายะฮฺดังกล่าวไปเทียบกับบรรทัดฐานของมุสลิมและบุคอรีย์แล้ว ถือว่าหะดีษนี้ “เศาะหี๊หฺ”



วิพากษ์:
มาก้าวที่สองแล้ว เราก็ยังไม่เห็นนายยาซีนหลุดพ้นกับการ “โกหก” ตามเคย นายยาซีนกล่าวสรุปว่า
๑. ท่านฮัยษะมี กล่าวว่าเศาะเหี๊ยห์
๒. ท่านหากิม นีชาบูรีย์ กล่าวว่า “เมื่อนำริวายะฮฺดังกล่าวไปเทียบกับบรรทัดฐานของมุสลิมและบุคอรีย์แล้ว ถือว่าหะดีษนี้ “เศาะหี๊หฺ”
แต่สิ่งที่นายยาซีน “โชว์ห่วย” ออกมาได้อย่างชัดเจนเลยก็คือเขากล่าวลอยๆได้อย่าง “หน้าด้าน” ปราศจาก แหล่งข้อมูล แม้กระทั่งชื่อตำราก็ยังไม่มีบอกไว้ แล้วจะให้พวกเราชาวซุนนีย์ไปเชื่อได้อย่างไร? คงมีแต่พวกสมองเบาเขลาปัญญาอย่างลัทธิชีอะฮฺเป็นแน่ที่นิยมเชื่องานเขียนทาง วิชาการเช่นนี้ ที่เห็นชัดแจ้งเลยก็คือ นายยาซีนกล่าวมาได้ว่า หะดิษนี้ศอเฮี๊ยฮ์ตามบรรทัดฐานของอิมามบุคอรี แต่ตัวอิมามบุคอรีเองกลับกล่าวว่าหะดิษนี้ดออีฟ!!!

قال البخارى:فيه نظر و قال ابن الجوزى:هذا حديث موضوع
ท่า นอิมามบุคอรีได้กล่าวว่าหะดิษนี้นั้นในสายรายงานของมันนั้นจำต้อง พิจารณา(ว่าดออีฟ-ผู้แปล)และท่านอิบนฺเญาซีย์ ได้กล่าวว่า หะดิษนี้คือหะดิษปลอม (อัลเมาฎูอาต เล่มที่ ๑ หน้า ๑๔๓) หากมองทะลุเข้าไปในจิตใจของนายยาซีน เข้าใจว่าเขาคงทราบถึงจิตวิทยาของมนุษย์ได้อย่างดีว่า หากว่าเขียนด้วยตัวอักษรอาหรับ(แม้จะอุปโลกน์มาก็ตาม) ก็สามารถทำให้คนเอาวามหลงเชื่อได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงเขียนมะตั่นตัวนี้เอาเอง!! ซึ่งแบบนี้ผมก็เขียนได้เช่น

قال رسول الله أبوبكرالصديق هو خلفتي وقال خمينى حديث صحيح
الكتاب التحريل الوسيلة ص 234 ج 3
ท่านรอซูลกล่าวว่า อบูบักรอัศศิดดีก เขาคือคอลีฟะฮฺของฉัน และท่านโคไมนี่กล่าวว่าหะดิษศอเฮี๊ยฮ์
จากหนังสือ ตะรีลอัลวะซีละฮฺ หน้า 234 เล่ม 3
ที่ ยกมานี้คือตัวบทปลอมที่ผมอุปโลกน์สาธิตขึ้นมาเพื่อให้เห็นเป็นตัวอย่างว่า ของแบบนี้ใครๆก็ทำได้ มิใช่เห็นเขียนภาษาอาหรับขึ้นมาก็เชื่อทันทีว่ามีตัวบทดังกล่าวจริงๆ ยิ่งเมื่อพวกชีอะฮฺด้วยแล้วคงไม่ต้องพูดอะไรมาก
บทเรียนที่ควรจำ นี่คือการโกหกครั้งที่ 2 ของนายยาซีน และนายอัยยูบ ยอมใหญ่ก็สวมรอยตามครับ




ยาซีน:
عن معاذة بنت عبد الله العدوية سمعت علي بن أبي طالب على منبر البصرة وهو يقول أنا الصديق الأكبر
آمنت قبل ان يؤمن أبو بكر وأسلمت قبل أن يسلم أبو بكر .

المعارف - ابن قتيبة - ص 169 و تهذيب الكمال - المزي - ج 12 - ص 18 – 19 و البداية والنهاية - ابن كثير - ج 7 - ص 370 و ...

อิบนุกุตัยบะฮฺ ดีนูรีย์ บันทึกใน “อัลมะอาริฟ” ว่า “มะอาซะฮฺ บินติอับดิลลาฮฺ” เล่าว่าฉันเคยได้ยิน อะลี อิบนุอบีฏอลิบ (อลัยฮิสลาม) กล่าวบนมินบัรฺที่เมืองบัศเราะฮฺว่า “ฉันคือศิดดีกอักบัรฺ ฉันศรัทธาก่อนที่อบูบักรฺจะศรัทธา และฉันเข้ารับอิสลามก่อนอบูบักรฺ
4

" الصديقون ثلاثة : حبيب النجار مؤمن آل ياسين ، وحزبيل مؤمن آل فرعون ، وعلي بن أبي طالب الثالث ، وهو أفضلهم .

مناقب علي بن أبي طالب (ع) وما نزل من القرآن في علي (ع) - أبي بكر أحمد بن موسى ابن مردويه الأصفهاني - ص 331 و الجامع الصغير - جلال الدين السيوطي - ج 2 - ص 115 و كنز العمال - المتقي الهندي - ج 11 - ص 601 و فيض القدير شرح الجامع الصغير - المناوي - ج 4 - ص 313 و تفسير الرازي - الرازي - ج 27 - ص 57 و تفسير البحر المحيط - أبي حيان الأندلسي - ج 7 - ص 442 و تفسير الآلوسي - الآلوسي - ج 16 - ص 145 و تاريخ مدينة دمشق - ابن عساكر - ج 42 - ص 43 و ج 42 - ص 313 و المناقب - الموفق الخوارزمي - ص 310 و ...

อิ บนุมัรฺดะวียะฮฺ อิศฟะฮานีย์ บันทึกใน “มะนากิบ” , ฟัครุรฺรอซีย์ , ออลูสีย์ , อบูหัยยาน , ญะลาลุดดีน สุยูฎีย์ ในตัฟสีรฺของพวกเขา , มุตตะกีย์ ฮินดีย์ ใน “กันซุลอุมมาล” , มะนาวีย์ ใน “ฟัยฎุลเกาะดีรฺ” ฯลฯ ตรงกันว่า “ท่านเราะสูลุลลอฮฺ (ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะอาลิฮฺ) ได้วจนะว่า “ศิดดีกูน (บรรดาผู้สัตย์จริง) มีทั้งหมด 3 ท่านคือ 1. “หะบีบ นัจญารฺ” มุอ์มินแห่งอาลิยาสีน 2. “หิซบีล” (หรือหิซกีล) มุอ์มุนแห่งอาลิฟิรฺอูน และบุคคลที่ 3 คือ อะลี อิบนุอบีฏอลิบ และเขาเป็นศิดดีกที่ประเสริฐที่สุด”

มาตร ว่าอบูบักรฺได้รับสมยานาม “ศิดดีก” จริงแล้วไซร้ ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะอาลิฮฺ) จะต้องบอกกล่าวเล่าแจ้งแถลงไขในหะดีษนี้แทนที่ศิดดิกูนษะลาษะฮฺ เป็น

« الصديقون اربعة »
กล่าวคือ จะต้องมีชื่อของอบูบักรฺเป็นศิดดีกที่สี่”
ที่ น่าทึ่งไปกว่านั้น ท่านญะลาลุดดีน สุยูฏีย์ มุฟัสสิรฺนามอุโฆษของชาวอะฮฺลิสสุนนะฮฺ กล่าวในตำรา “อัดดุรฺรุลมันษูรฺ” และก็อนดูซีย์ หะนะฟีย์ ใน “ยะนาบีอุลมะวัดดะฮฺ” ก็บันทึกหะดีษนี้เช่นกัน เพียงแต่มีข้อความที่แตกต่างกับ “ตารีคบุคอรีย์” เล็กน้อย ว่า

وأخرج البخاري في تاريخه عن ابن عباس قال قال رسول الله صلى الله عليه وسلم الصديقون ثلاثة حزقيل مؤمن آل فرعون وحبيب النجار صاحب آل ياسين وعلي بن أبي طالب .
الدر المنثور - جلال الدين السيوطي - ج 5 - ص 262 و ينابيع المودة لذوي القربى - القندوزي - ج 2 - ص 400
“บุ คอรีย์ได้บันทึกในตารีค โดยรายงานจากท่านอิบนุอับบาส ว่า “ท่านเราะสูลุลลอฮฺ (ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะอาลิฮฺ) กล่าวว่า “ศิดดีกมี 3 ท่าน คือ 1. หิซกีล มุอ์มินจากอาลิฟิรฺอูน 2. หะบีบ อันนัจญารฺ ศอหิบอาลิยาสีน และ 3. อะลี อิบนุอบีฏอลิบ”



วิพากษ์:
หะ ดิษเหล่านี้ที่ยกมาทั้งหมด ก็ล้วนมาจากแหล่งเดียวกันทั้งสิ้นคือ จากสายรายงานของอิบาด อิบนุอับดิลละฮฺ ดังนั้นอุลามาฝ่ายซุนนีจะบันทึกหะดิษบทนี้สักล้านครั้งล้านเล่มแค่ไหน มันก็ยังเป็นหะดิษดออีฟอยู่วันยังค่ำครับท่านเชคยาซีน อีกทั้งหนังสือที่ยกๆกันมาก็ล้วนเป็นหนังสือที่บรรจุหะดิษดออีฟมากมายเช่น “อัดดุรฺรุลมันษูรฺ” เป็นต้น

ยาซีน:
ทว่า เมื่อย้อนกลับไปดู “ตารีคเศาะฆีรฺ” และ “ตารีคกะบีรฺ” ของบุคอรีย์ เรากลับไม่พบหะดีษดังกล่าว และนี่คือประจักษ์พยานหนึ่งซึ่งสำแดงถึงความอยุติธรรมและความเป็นศัตรูที่ ผู้คนเหล่านี้มีต่อท่านอมีรุลมุอ์มินีน อะลี อิบนุอบีฏอลิบ (อลัยฮิสลาม) ด้วยการพยายามลบล้างทำลายฐานภาพและเกียรติคุณของท่านให้อันตรธานหายไปจาก หัวใจของประชาชาติของท่านศาสดา ในขณะที่ก่อนหน้านั้น อุละมาอ์อะฮฺลิสสุนนะฮฺต่างได้บันทึกหะดีษนี้ในตำราต่าง ๆ ของพวกเขา


วิพากษ์ :
ถ้า ไม่รู้อะไรดีพอก็อย่ามาสะเออะ วิจารณ์พล่อยๆต่อผู้รู้ซุนนีเลยครับคุณยาซีน หะดิษมันดออีฟ ท่านบุคอรีจะเอามาบันทึกให้เสียยี่ห้อตัวท่านทำไม ไม่มีใครเขารังเกียจความประเสริฐของท่านอะลีหรอกครับ ในหนังสือของท่านบุคอรีมีหะดิษมากมายอื่นๆที่ศอเฮี๊ยฮ์ซึ่งยกย่องท่านอะลี ฝ่ายซุนนีเขามีวิชาการมากพอนะครับ อะไรใช้ไม่ได้ก็คือใช้ไม่ได้ต้องตัดไป มิใช่เล่นเอาที่ชอบใจแบบที่ชีอะฮฺทำกันสักหน่อย ถ้าหากฝ่ายซุนนีเกลียดท่านอะลีและบรรดาอะฮฺลุลบัยตฺจริงๆ ฝ่ายซุนนีคงไม่บันทึกหะดิษมันซิละฮฺ หะดิษษะกอลัยนฺให้เสียเวลาแล้วละครับ เพราะหะดิษพวกนี้เป็นหะดิษที่ชีอะฮฺชอบยกมาหากิน ซึ่งมีปรากฏอยู่ในตำราฝ่ายซุนนี


นายยาซีน:
คำสารภาพของอุละมาอ์อะฮฺลิสสุนนะฮฺต่อกรณีการนำฉายานามทั้งสองไปแปะให้อบูบักรฺกับอุมัรฺ
ที่ น่าอัศจรรย์ใจไปกว่านั้นก็คือ อุละมาอ์สุนนีย์จำนวนหนึ่งได้ออกมาสารภาพว่าฉายานาม “อัศศิดดีก” กับ “อัลฟารูก” นั้น มิได้มีความเหมาะสมคู่ควรกับคุณสมบัติของท่านอบูบักรฺกับท่านอุมัรฺแต่อย่าง ใด และหะดีษดังกล่าวที่ปรากฎอย่างดาษดื่นในตำราของพวกเขาล้วน “ญะอฺลีย์” หรือ “ถูกอุปโลกน์” ขึ้นมาทั้งสิ้น อาทิเช่น ท่านอิบนุเญาซีย์ นักปราชญ์นามอุโฆษอีกท่านหนึ่งของชาวอะฮฺลิสสุนนะฮฺ ได้กล่าวใน “อัลเมาฎูอาต” ว่า “อบีดัรฺดาอ์” รายงานว่าท่านเราะสูลุลลอฮฺ (ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะอาลิฮฺ) ได้วจนะว่า

عن أبى الدرداء عن النبي صلى الله عليه وسلم قال :

«رأيت ليلة أسرى بى في العرش فرندة خضراء فيها مكتوب بنور أبيض :

لا إله إلا الله محمد رسول الله أبو بكر الصديق عمر الفاروق».

“ใน ค่ำคืน “มิอฺรอจญ์” ณ บัลลังก์ของอัลลอฮฺ ฉันได้เห็น “โล่ห์สีเขียว” สลักประโยค “ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ , มุหัมมัดคือศาสนทูตของอัลลอฮฺ , อบูบักรฺคือ “อัศศิดดีก” , อุมัรฺคือ “อัลฟารูก” ! ! !

هذا حديث لا يصحّ ، والمتّهم به عمر بن إسماعيل قال يحيى : ليس بشئ كذّاب ، دجال ، سوء ، خبيث ، وقال النسائي والدارقطني : متروك الحديث .

الموضوعات ، ابن جوزي ، ج1 ، ص 327

หลังจากนั้น ผู้บันทึกได้กล่าวว่า “หะดีษนี้ไม่เศาะหี๊หฺ และอุมัรฺ อิบนุอิสมาอีล เป็นบุคคลที่ถูกตราหน้า – มีข้อครหา โดย ยะหฺยา อิบนุมุอีน กล่าวว่า “เขามิใช่ใครอื่นนอกจาก “ผู้โกหกตะหลบตะแลง” , “คดในข้อ – งอในกระดูก” , “คนชั่วช้าสามานย์” , คนสกปรกโสมม” นอกจากนี้ อันนะสาอีย์และอัดดารฺก็อฏนีย์ ได้กล่าวว่า “นี่เป็นหะดีษที่ถูกขว้างทิ้ง”

هذا باطل موضوع وعلى بن جميل كان يضع الحديث ... .

الموضوعات ، ابن جوزي ، ج1 ، ص 336 .



ใน อีกที่หนึ่ง เขาได้กล่าวว่าริวายะฮฺนี้โมฆะ (บาฏิล) เป็นริวายะฮฺที่ถูกอุปโลกน์ (ญะอฺลีย์) และ “อะลี อิบนุญะมีล” เป็น “นักเสกสรรปั้นแต่งหะดีษ”
هذا حديث لا يصح عن رسول الله صلى الله عليه وسلم . وأبو بكر الصوفى ومحمد بن مجيب كذابان ، قاله يحيى بن معين .

الموضوعات ، ج1 ،‌ ص337 .

นอกจากนี้ เขายังกล่าวอีกว่าการที่จะยอมรับว่าหะดีษดังกล่าวมาจากท่านเราะสูลุลลอฮฺ (ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะอาลิฮฺ) นั้น ถือว่าไม่ถูกต้อง ทั้งนี้เพราะ “อบูบักรฺ ศูฟีย์” และ “มุหัมมัด อิบนุมุญีบ” ทั้งสองเป็น “จอมโกหก” โดย ยะหฺยา อิบนุมุอีน ได้กล่าวยืนยัน

رواه الطبراني وفيه على بن جميل الرقى وهو ضعيف .

مجمع الزوائد ،‌ الهيثمي ،‌ ج9 ، ص58 .

ท่านฮัยษะมีย์ กล่าวว่า “ท่านฏ็อบรอนีย์บันทึกริวายะฮฺนี้ ในขณะที่มี อะลี อิบนุญะมีล ร็อกกีย์ อยู่ในสะนัด – สายรายงานด้วย และคนผู้นี้ “เฎาะอีฟ” (เชื่อถือไม่ได้)”
كر وفيه محمد بن عامر كذّا

كنز العمال ، ج13 ، ص236 .
หลัง จากมุตตะกีย์ ฮินดีย์ กล่าวถึงหะดีษนี้แล้ว ท่านได้ให้ทัศนะว่า “อิบนุอะสากิรฺ” เป็นผู้บันทึกหะดีษนี้ และสะนัด –สายรายงานนี้มี มุหัมมัด อิบนุอามิรฺ อยู่ด้วย ซึ่งคนผู้นี้เป็น “จอมโกหก”

وهذان خبران باطلان موضوعان لا شكّ فيه ، وله مثل هذا، أشياء كثيرة يطول الكتاب بذكرها .

كتاب المجروحين ،‌ ج2 ،‌ ص116.
หลังจาก “หับบาน” บันทึกหะดีษนี้แล้ว เขาได้กล่าวว่า “ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่าริวายะฮฺทั้งสอง บาฏิล (โมฆะ) และถูกอุปโลกน์ (เมาฎูอฺ)
มีริวายาตทำนองนี้อีกมากมายที่ถูกอุปโลกน์ ซึ่งการที่จะนำเสนอในหนังสือเล่มนี้จะทำให้ยืดเยื้อโดยใช่เหตุ”
هذا باطل ، والمتهم به حسين .

ميزان الاعتدال ، ذهبي ، ج1 ،‌ ص540 و لسان الميزان ، ابن حجر ، ج2 ، ص295

ยัง ไม่จบ เพราะ “อิบนุหะญัรฺ อัสกิลานีย์” และ “ชัมสุดดีน ซะฮะบีย์” ก็ได้กล่าวยืนยันเช่นกันว่า “ริวายะฮฺนี้บาฏิล (โมฆะ) และผู้ที่ถูกตราหน้า (ว่าโป้ปดมดเท็จอุปโลกน์หะดีษ) ก็คือ “หุสัยน์”

فإنّه حديث ضعيف في إسناده من تكلم فيه ولا يخلو من نكارة ، والله أعلم .

البداية والنهاية ، ج7 ،‌ ص230
ท่า นอิบนุกะษีรฺ ดะมิชกีย์ สะละฟีย์ ก็ให้ทัศนะเช่นกันว่า “หะดีษนี้เฎาะอีฟ (เชื่อถือไม่ได้) เพราะในสะนัดนี้มีบุคคลที่คำพูดของเขาขาดความน่าเชื่อถือ”



วิพากษ์ :
สุด ยอดจริงๆครับ นายยาซีนพยายามที่จะให้พวกเราเชื่อให้ได้ ว่าหะดิษที่พูดถึงฉายาของท่านอบูบักรว่า “อัศศิดดีก” นั้นเป็นหะดิษปลอมใช้ไม่ได้ โดยไปสรรหาการตรวจสอบวิจารณ์มากมายจากผู้รู้ฝ่ายซุนนีมายืนยัน เหนื่อยไหมคุณยาซีน? เพราะที่คุณทำมาทั้งหมดนี้นั้นเรียกได้ว่าล้มเหลวจริงๆที่จะพยายามปกปิด เกียรติยศของท่านอบูบักร คุณยาซีนพยายามวิจารณ์หะดิษ ศิดดีก ของท่านอบูบักรจากสายรายงานที่ดออีฟ แต่นายยาซีนเองก็พยายามเบี่ยงเบนผู้อ่านให้เข้าใจว่าหลักฐานเกี่ยวกับเรื่อง นี้ของฝ่ายซุนนีมีทั้งหมดเพียงแค่นี้!!! นายยาซีนมิเคยไปหาดูในศอเฮี๊ยฮ์บุคอรีเลยหรืออย่างไรว่า หะดิษที่กล่าวถึงฉายาอัศศิดดีก ของท่านอบูบักร ในตำราเล่มนี้ก็มีกล่าวไว้ ไม่จำเป็นต้องเหนื่อยไปค้นตำราปลายแถวอื่นๆให้เสียเวลาเลย หรือว่านายยาซีนพยายามจะเบี่ยงเบน หรือว่านายยาซีนอ่อนหัดขนาดที่ว่าไม่เคยอ่านหนังสือหะดิษศอเฮี๊ยฮ์ของ อิหม่ามบุคอรี!!!

عن أنس بن مالك رضي الله عنه أن النبي صلى الله عليه وسلم صعد أحدا وأبو بكر وعمر وعثمان فرجف بهم فقال : ( اثبت أحد فإنما عليك نبي وصديق وشهيدان )
รายงานจากท่านอะนัสบินมาลิกกล่าวว่า แท้จริง ท่านรอซูล(ศ็อลฯ)ได้ปีนขึ้นไปบนภูเขาอุฮุด(ในระหว่างสงคราม-ผู้แปล)พร้อมกับ อบูบักร อุมัรและอุษมาน(3คอลีฟะฮฺ) และทันใดนั้นมันเกิดการสั่นไหวภายใต้เบื้องล่างของพวกเขา ด้วยเหตุนี้ท่านรอซูลจึงกล่าวว่า จงยืนหยัดไว้โอ้อุฮุด เพราะว่าในเวลานี้ไม่มีผู้ใดที่ได้ยืนอยู่บนตัวเจ้า เว้นแต่ตัวฉันผู้เป็นนบี และอัศศิดดีก(อบูบักร) และชายทั้งสองผู้พลีชีพเพื่อศาสนา(อุมัรและอุษมาน)
رواه البخاري 3675
รายงานโดย บุคอรีย์ หมายเลขที่ 3675

ยก หลักฐานมาตรงนี้ ชีอะฮฺอาจจะแย้งว่า เราไม่ยอมรับเพราะนี่คือหะดิษของฝ่ายซุนนี ไม่ใช่ของฝ่ายชีอะฮฺ ก็อยากจะบอกไว้นะครับ พวกท่านชีอะฮฺจะไม่ยอมรับนั่นก็เรื่องของพวกท่าน เพราะพวกท่านยอมรับใครที่ประเสริฐนอกเหนือจากท่านอะลีมิได้อีกแล้ว ดังนั้นเมื่อจุดยืนของพวกท่านเป็นแบบนี้มันก็ช่วยไม่ได้แล้ว เราจะไปนับอะไรกับหะดิษของฝ่ายซุนนีก็ในเมื่อแม้กระทั่งพระมหาคัมภีร์อัลกุ รอานของพระองค์อัลลอฮฺเองชีอะฮฺก็ยังไม่ยอมรับ อย่าปฏิเสธเลยครับ 


พระองค์อัลลอฮฺทรงกล่าวว่า


มุฮัมมัดเป็นร่อซูลของอัลลอฮฺ และบรรดาผู้ที่อยู่ร่วมกับเขา เป็น ผู้เข้มแข็งกล้าหาญต่อพวกปฏิเสธศรัทธา เป็นผู้เมตตาสงสารระหว่างพวกเขาเอง เจ้าจะเห็นพวกเขาเป็นผู้รูกั๊วะ ผู้สุญูด โดยแสวงหาคุณความดีจากอัลลอฮฺและความโปรดปราน (ของพระองค์) เครื่องหมายของพวกเขาอยู่บนใบหน้าของพวกเขาเนื่องจากร่องรอยแห่งการสุญูด นั่นคืออุปมาของพวกเขาที่มีอยู่ในอัตเตารอต และอุปมาของพวกเขาที่มีอยู่ในอัลอินญีล ประหนึ่งเมล็ดพืชที่งอกหน่อหรือกิ่งก้านของมันออกมาแล้วทำให้มันงอกงาม แล้วมันก็เติบโตแข็งแรงและทรงตัวอยู่ได้บนลำต้นของมัน นำความปลื้มปิติมาให้แก่ผู้หว่าน เพื่อที่พระองค์จะก่อความโกรธแค้นแก่พวกปฏิเสธศรัทธา เพราะพวกเขา (มุสลิมีน) และอัลลอฮฺทรงสัญญาบรรดาผู้ศรัทธาและกระทำความดีทั้งหลายในหมู่พวกเขาว่าจะ ได้รับการอภัยโทษและรางวัลอันใหญ่หลวง (*1*)

(1)มุฮัมมัด คือร่อซูลของอัลลอฮฺอย่างแท้จริง และบรรดาศ่อฮาบะฮฺผู้ทรงคุณธรรมเป็นผู้แสดงออกซึ่งความเข้มแข็งและแข็งกร้าว ต่อผู้ที่ขัดแย้งต่อศาสนาของพวกเขา และมีความเมตตาสงสารต่อผู้มีความคิดเห็นตรงกันในเรื่องศาสนา จะเห็นได้ว่าคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกเขาไม่ชอบที่จะให้อวัยวะของเขา หรือเสื้อผ้าของเขาไปกระทบกับอวัยวะหรือเสื้อผ้าของคนกาฟิร แต่ถ้ากับพี่น้องมุสลิมด้วยกันเองแล้วเขาจะจับมือโอบกอดและแสดงออกซึ่งความ รักใคร่ นอกจากนี้แล้วจะเห็นพวกเขาก้มลงรูกั๊วะและสุญูดในเวลาละหมาดของพวกเขา โดยหวังการตอบแทนด้วยสวนสวรรค์และความโปรดปรานจากอัลลอฮฺ เครื่องหมายแห่งการอีมานและความบริสุทธิ์ของพวกเขา ปรากฎอยู่บนใบหน้าของพวกเขาอันเนื่องมาจากร่องรอยแห่งการสุญูด เพราะในวันกิยามะฮฺนั้น พวกเขาก็จะถูกฟื้นคืนชีพมาโดยมีใบหน้าและเท้ามีแสงเป็นประกายอันเนื่องมาจาก น้ำละหมาด คุณลักษณะดังกล่าวข้างต้นนั้นได้กล่าวไว้เป็นอุปมาในคัมภีร์อัตเตารอฮฺและ คัมภีร์อัลอินญีล อัฏเฏ๊าะฮาก กล่าวว่า อุปมานี้เป็นที่ชัดแจ้งที่สุด เมล็ดพืชคือท่านนะบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม หน่อหรือกิ่งก้านนี่คือบรรดาสาวก ในตอนแรกมีจำนวนน้อยอ่อนแอแล้วก็ได้เพิ่มขึ้นมากมายและแข็งแรง ทั้งนี้เพื่อที่จะก่อความโกรธแค้นให้แก่พวกกุฟฟารอันเนื่องมาจากจำนวนและ ความเข้มแข็งของบรรดาสาวก อัลลอฮฺทรงสัญญาแก่บรรดาผู้ศรัทธา และบรรดาผู้กระทำความดีว่าพวกเขาจะได้รับการอภัยโทษอย่างสมบูรณ์และรางวัล อันยิ่งใหญ่อีกทั้งริซกีอันหลากหลายในสวนสวรรค์ 
 
โองการนี้กล่าวว่า บรรดาศอฮาบะฮฺผู้ที่อยู่ร่วมกับท่านนบีนั้นเป็นผู้ศรัทธาชั้นเลิศ แต่โคไมนี่กลับบอกว่าผู้ที่อยู่ร่วมกับท่านนบีเลวมาก! แต่ชาวอิหร่านตลอดจนพวกชีอะฮฺที่คลั่งไคล้เขาทั่วโลก(ผมเชื่อว่าคุณยาซีนและ อัยยูบก็คงเป็นแบบนี้)กลับเป็นพวกที่ประเสริฐกว่าบรรดาผู้ที่อยู่ร่วมกับ ท่านนบี!!



 
 
 ความหมายจากหนังสือของโคมัยนีย์
“ข้าพเจ้า มั่นใจว่าชาวอิหร่านทั้งหมดนับล้านๆคนนั้นในปัจจุบันที่มั่นคงย่อมเลิศกว่า ชาวอัลหิญาซ์ (เป็นพื้นที่ที่ปกคลุมทั้งมักกะฮฺและมาดีนะฮฺ) ในสมัยของท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮฺ อะลัยฮิ วะอาลิฮิ!! และชาวอิหร่านเลิศกว่าชาวกูฟะฮฺ ประเทศอิรักในสมัยอามีรมุอฺมีนีน และฮุเสน บิน อาลี

ชาวอิรักและชาวกูฟะฮกระทำไม่ดีต่ออามีรมุอฺมินี นอย่างมากมาย และพวกเขายังฝ่าฝืนไม่เชื่อฟังอามีรอีกด้วย การร้องทุกข์ของอิมามจากพวกเขาเป็นสิ่งชัดแจ้งในหนังสือและประวัติศาสตร์
มุสลิม อิรักและกูฟะฮฺได้กระทำเหมือนที่พวกเขากระทำต่อท่านฮุเสน บิน อาลี ซึ่งพวกเขาไม่ได้ผิดในการที่พวกสังหารฮุเสน แต่พวกเขาหนีสงคราม และพวกเขาเงียบเฉยจนกระทั่งเกิดอาชญากรรมแห่งประวัติศาสตร์ขึ้น

หนังสือ : อัลวะศิยะฮฺ อัสสิยาสิยะฮฺ โดยอิมามโคมัยนีย์
เอา ล่ะเห็นกันอย่างนี้แล้วพี่น้องจะคาดหวังอะไรกับลัทธิชีอะฮฺได้อีก!! อันที่จริงหลักฐานจากฝ่ายชีอะฮฺเองก็มีระบุถึงฉายาอัศศีกของท่านอบูบักรจาก ปากคำของท่านอิหม่ามญะอฺฟัรเองดังนี้

ولدني أبوبكر الصديق مرتين
อบูบักร์ อัศศิดดีก คือต้นตระกูลของฉันทั้งสองสาย
ประเด็น ต่างๆที่เรากล่าวมาข้างต้นนี้ไม่ใช่เรื่องที่เรายกเมฆหรือประพันธ์ขึ้นเอง เพราะเชื้อสายเหล่ากอและวงศ์วานของมนุษย์โดยทั่วไปนั้นไม่ได้กุดด้วน นอกจากนี้ยังสามารถสืบค้นได้โดยไม่ยากนัก ท่านผู้อ่านสามารถอ่านรายละเอียดตรวจทานเรื่องเหล่านี้ได้ทั้งจากตำราของชาว ซุนนะห์และตำราของชีอะห์เองดังนี้
1 – ซิรรุลซิละห์ อัลอะละวียะห์ หน้าที่ 34
2 – ซิละตุ้ลอะอ์ลาม อัลฮิดายะห์ เล่มที่ 8 หน้าที่ 41,185,186
3 – อัลอิรซาด ของเชคมุฟีด หน้าที่ 270,354
4 – บิฮารุ้ลอันวาร ของอัลมัจลิซีย์ เล่มที่ 43 หน้าที่ 192,212
5 – ตะฮ์ซีบบุลอะห์กาม ของอัตตูซีย์ เล่มที่ 1 หน้าที่ 469
6 – ซิยัรลิลซะฮะบีย์ เล่มที่ 4 หน้าที่ 421



นายยาซีน:
6
“ชาวคัมภีร์” คือชนกลุ่มแรกที่ตั้งฉายาอุมัรฺ ว่า “ฟารูก”
قال بن شهاب بلغنا أن أهل الكتاب كانوا أول من قال لعمر الفاروق وكان المسلمون يأثرون ذلك من قولهم ولم يبلغنا أن رسول الله صلى الله عليه وسلم ذكر من ذلك شيئا .


الطبقات الكبرى - محمد بن سعد - ج 3 - ص 270 و تاريخ مدينة دمشق - ابن عساكر - ج 44 - ص 51 و تاريخ الطبري - الطبري - ج 3 - ص 267 و أسد الغابة - ابن الأثير - ج 4 - ص 57 .

มุหัมมัด อิบนุสะอฺด์ ใน “อัฏเฏาะบะกอตุลกุบรอ” , อิบนุอะสากิรฺ ใน “ตารีคมะดีนะฮฺดะมิชก์” , อิบนุอะษีรฺ ใน “อะสะดุลฆอบะฮฺ” , มุหัมมัด อิบนุญะรีรฺ เฏาะบะรีย์ ใน “ตารีคเฏาะบะรีย์” ได้บันทึกไว้ว่า “อิบนุชะฮาบ” กล่าวว่า “ที่มาของฉายา “ฟารูก” ของอุมัรฺที่มาถึงเรานั้น เกิดจาก (การแต่งตั้งของ
อะฮฺลุลกิตาบ (ชาวคัมภีร์ – ชาวยิวกับชาวคริสเตียน) เป็นกลุ่มแรก จนกระทั่งมันได้มีอิทธิพลเป็นที่แพร่หลายในหมู่พี่น้องมุสลิม และพวกเขาจะเรียกสมญานามนี้กับอุมัรฺ ในขณะที่ไม่มีหะดีษทำนองนี้จากท่านเราะสูลุลลอฮฺ (ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะสัลลัม) มาถึงเราแต่อย่างใด)”

عمر بن الخطاب بن نفيل بن عبد العزى ... أبو حفص العدوي ، الملقب بالفاروق قيل لقبه بذلك أهل الكتاب
البداية والنهاية - ابن كثير - ج 7 – ص 150
นอกจาก นี้ อิบนุกะษีรฺ ดะมัชกีย์ สะละฟีย์ ได้กล่าวใน “บิดายะฮฺ วันนิฮายะฮฺ” ตำรานามอุโฆษของท่านว่า “.....กล่าวกันว่าพวกอะฮฺลุลกิตาบเป็นผู้ตั้งฉายา “อัลฟารูก” ให้อุมัรฺ อิบนุลค็อฏฏอบ”



วิพากษ์:

ก่อน ที่จะได้อธิบายถึงประเด็นนี้ให้เห็นถึงเจตนาที่ต้องการจะเบี่ยงเบนตบตาผู้ อ่านว่าฉายานี้พวกยิวเป็นคนตั้งแก่ท่านอุมัรผมขอยกตัวบทมาทั้งหมดดังนี้

تاريخ المدينة / ج: 2 ص : 662
تسميته بالفاروق ) قال أخبرنا يعقوب بن إبراهيم بن سعد ، عن أبيه ، عن صالح بن كيسان قال ، قال ابن شهاب : بلغنا أن أهل الكتاب كانوا أول من قال لعمر : الفاروق ، وكان المسلمون يؤثرون ذلك من قولهم ، ولم يبلغنا أن رسول الله صلى الله عليه وسلم ذكر من ذلك شيئاً ، ولم يبلغنا أن ابن عمر قال ذلك إلا لعمر ، كان فيما يذكر من مناقب عمر الصالحة ويثني عليه
อิบนุชิฮาบ กล่าวว่า ได้มีข่าวมาถึงเราว่า คนกลุ่มแรกที่ได้เรียกอุมัรว่าอัลฟารุคคือพวกอะฮฺลุลกิตาบ(ยิวกับคริสเตียน) และบรรดามุสลิมทั้งหลายก็ได้รายงานสิ่งดังกล่าวมาจากคำพูดของชาวคัมภีร์ และเราไม่ได้รับความรู้(ไม่เคยได้ยิน) ว่าท่านนบีนั้นได้เคยเรียกชื่อดังกล่าวเลย และเราก็ไม่ได้เคยยินว่าอิบนุอุมัรได้กล่าวในสิ่งดังกล่าว(ฉายาอัลฟารูค)เลย นอกจากท่านอุมัรเท่านั้น
(ตารีค มาดีนะฮฺเล่ม 2 หน้า 662)

อัน ที่จริงหลักฐานประเภทนี้ที่นายยาซีนยกมาคือกลลวงในการตบตาท่านผู้อ่านให้หลง เข้าใจว่าชื่ออัลฟารูคนั้นมีหลักฐานบอกแบบนี้เท่านั้นที่รายงานมา เหมือนกันเปี๊ยบกับกรณีการหมกเม็ดฉายาอัศศิดดีกของอบูบักร ที่อุตส่าไปขุดเอามาจากหนังสือดออีฟเล่มต่างๆแล้วมานำเสนอ ทำราวกับว่ารายงานที่พูดถึงฉายาของท่านอบูบักรในตำราซุนนีมีแต่รายงานดออีฟ โดยพยายามทำหูทวนลมตาบอดไม่รู้ว่าในศอเฮี๊ยฮ์บุคอรีก็มีรายงานเหล่านี้อยู่ กรณีฉายาขอท่านอุมัรก็เช่นกัน มีรายงานที่เป็นที่น่าเชื่อถือมากมายที่ระบุว่าท่านอุมัรได้รับฉายานี้จาก ตัวของท่านนบีและจากการการเรียกขานของมลาอิกะฮฺญิบรีลเอง
อันที่จริงรายงานของอิบนุชิฮาบที่ระบุว่ายิวเป็นกลุ่มแรกที่ได้ตั้งชื่อ อัลฟารูคแก่ท่านอุมัรนั้นไม่มีอะไรขัดแย้งกับรายงานสายอื่นๆที่ระบุว่าท่าน นบีเป็นคนเรียกชื่อท่านอุมัรว่าอัลฟารูคเลยนั่นก็เพราะว่าการได้มาซึ่งฉายา อัลฟารูคของท่านอุมัรนั้นเป็นสถานการณ์ที่เกี่ยวพันกับทั้งยิวมุนาฟิกและ ท่านนบี(ศ็อลฯ) เราจะต้องเข้าใจว่ารายงานของอิบนุชิฮาบบทนี้เป็นรายงานที่มีเนื้อหาไม่ สมบูรณ์จำต้องหารายงานอื่นๆมาอ่านประกอบความเข้าใจ ตัวอิบนุชิฮาบกล่าวว่า

ولم يبلغنا أن رسول الله صلى الله عليه وسلم ذكر من ذلك شيئاً
“และเราไม่ได้รับความรู้(ไม่เคยได้รับรายงาน) ว่าท่านนบีนั้นได้เคยเรียกชื่อดังกล่าวเลย”

ตรง นี้จึงไม่ได้หมายความว่าการที่อิบนุชิฮาบไม่เคยได้รับรายงานจากท่านนบีกรณี การตั้งชื่ออัลฟารูคแก่ท่านอุมัร จะเป็นการหมายถึงว่าไม่มีรายงานที่พูดถึงการเรียกชื่ออัลฟารูคแก่ท่านอุมัร เสียหน่อย!! อิบนุชิฮาบไม่เคยได้รับรายงานไม่ได้แปลว่าไม่มีรายงานอื่นแล้ว!!!หลักฐาน ทั้งหมดเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นกลลวงอันมดเท็จที่มุ่งทำลายเกียรติยศอันยิ่ง ใหญ่ของท่านอุมัร ซึ่งอันที่จริงสำหรับผู้ที่ไม่มีอคติกับท่านอุมัรหลักฐานอันเป็นที่เชื่อถือ ได้มากมายก็ยืนยันแก่เราว่าท่านอุมัรนั้นมีฉายาอัลฟารูกและผู้ที่ให้ฉายาแก่ ท่านคือมลาอิกะฮฺญิบรีลเอง หาใช่อะฮฺลุลกิตาบชาติพันธุ์ต้นกำเนิดลัทธิชีอะฮฺขวัญใจท่านเชคยาซีนเสีย หน่อย!!!

عن ابن عباس رضي الله عنه أن منافقاً خاصم يهودياً فدعاه اليهودي إلى النبي عليه السلام ودعاه المنافق إلى كعب بن الأشرف . ثم إنهما احتكما إلى رسول الله صلى الله عليه وسلم . فحكم لليهودي فلم يرض المنافق وقال : نتحاكم إلى عمر . فقال اليهودي لعمر : قضى لي رسول الله عليه السلام فلم يرض بقضائه وخاصم إليك . فقال عمر رضي الله عنه للمنافق : أكذلك ؟ فقال : نعم . قال : ألزما مكانكما حتى أخرج إليكما . فدخل وأخذ بسيفه ثم خرج فضرب به عنق المنافق حتى برد وقال : هكذا أقضى لمن لم يرض بقضاء الله ورسوله . فنزلت . وقال جبريل : إن عمر فرق بين الحق والباطل فسمى الفاروق
รายละเอียดของเรื่องนี้มีระบุถึงการตัดสินอย่างยุติธรรมของ ท่านอุมัรต่อกรณีความขัดแย้งระหว่างชาวยิวกับพวกมุนาฟิก มลาอิกะฮฺญิบรีลที่เฝ้ามองเหตุการณ์ครั้งนี้จึงกล่าวแก่ท่านนบี(ศ็อลฯ) ว่า “แท้จริงอุมัรคือผุ้ที่แยกระหว่างสัจธรรมกับความเท็จ ดังนั้นเขาจึงมีสมญานามว่า อัลฟารูก
السير الكبير / ج: 1 ص : 270

เรื่องราวที่มีลักษณะเนื้อหาคล้ายๆกันนี้ยังถูกบันทึกไว้ในแหล่งอื่นๆเช่น
الدر المنثور / ج: 2 ص : 179 :
وأخرج الثعلبي عن ابن عباس في قوله : ( ألم تر إلى الذين يزعمون أنهم آمنوا ... الآية ) قال نزلت في رجل من المنافقين يقال له بشر خاصم يهودياً فدعاه اليهودي إلى النبي صلى الله عليه وسلم ودعاه المنافق إلى كعب بن الأشرف ثم إنهما احتكما إلى النبي صلى الله عليه وسلم فقضى لليهودي فلم يرض المنافق وقال تعالى نتحاكم إلى عمر بن الخطاب . فقال اليهودي لعمر : قضى لنا رسول الله صلى الله عليه وسلم فلم يرض بقضائه . فقال للمنافق : أكذلك ؟ قال : نعم . فقال عمر : مكانكما حتى أخرج إليكما فدخل عمر فاشتمل على سيفه ثم خرج فضرب عنق المنافق حتى برد ثم قال هكذا أقضى لمن لم يرض بقضاء الله ورسوله فنزلت .

» الدر المنثور / ج: 2 ص : 181 :

وأخرج الحكيم الترمذى في نوادر الأصول عن مكحول ، قال : كان بين رجل من المنافقين ورجل من المسلمين منازعة في شئ فأتيا رسول الله صلى الله عليه وسلم فقضى على المنافق . فانطلقا إلى أبي بكر ، فقال : ما كنت لأقضى بين من يرغب من قضاء رسول الله صلى الله عليه وسلم . فانطلقا إلى عمر فقصا عليه فقال عمر : لا تعجلا حتى أخرج اليكما فدخل فاشتمل على السيف وخرج فقتل المنافق ، ثم قال : هكذا أقضى بين من لم يرض بقضاء رسول الله ! فأتى جبريل رسول الله صلى الله عليه وسلم فقال : إن عمر قد قتل الرجل وفرق الله بين الحق والباطل على لسان عمر فسمى الفاروق .
ญิบรีลกล่าวว่า แท้จริงท่านอุมัรคือผู้แยกแยะของพระองค์อัลลอฮฺระหว่างสัจธรรมกับความเท็จ ผ่านลิ้นของท่านอุมัร ดังนั้นท่านอุมัรจึงได้รับสมญาณามว่าอัลฟารูก

تاريخ المدينة / ج: 2 ص : 662 :

قال ابن شهاب ... وقد بلغنا أن عبدالله بن عمر كان يقول : قال رسول الله صلى الله عليه وسلم : اللهم أيد دينك بعمر بن الخطاب . قال أخبرنا أحمد بن محمد الأزرقي المكي قال ، أخبرنا عبدالرحمن بن حسن ، عن أيوب بن موسى قال : قال رسول الله صلى الله عليه وسلم إن الله جعل الحق على لسان عمر وقلبه ، وهو الفاروق ، فرق الله به بين الحق والباطل .
ท่านรอซูลลุลลอฮฺกล่าว ว่า แท้จริงพระองค์อัลลอฮฺได้ทำให้สัจธรรมปรากฏเหนือลิ้นและหัวใจของท่านอุมัร เขาคืออัลฟารูกผู้ซึ่งแยกแยะระหว่างสัจธรรมกับความเท็จ

تاريخ المدينة / ج: 2 ص : 662 :
قال أخبرنا محمد بن عمر قال ، أخبرنا أبوحزرة يعقوب ابن مجاهد ، عن محمد بن إبراهيم ، عن أبي عمرو بن ذكوان قال ، قلت لعائشة : من سمى عمر الفاروق ؟ قالت : النبي عليه السلام .
จากอบีอุมัรและอิบนุซักวานกล่าวว่า เราได้ถามท่านหญิงอาอีชะฮฺว่าผู้ใดเป็นผู้ให้สมญาณาม อัลฟารูก แก่ท่านอุมัร นางตอบว่า คือตัวท่านนบี

قال أخبرنا أحمد بن محمد الازرقي المكي قال، أخبرنا عبد الرحمن بن حسن، عن أيوب بن موسى قال: قال رسول الله صلى الله عليه وسلم: " إن الله جعل الحق على لسان عمر وقلبه، وهو الفاروق، فرق الله بين الحق والباطل
ท่านรอซูลลุลลอฮฺกล่าวว่า แท้จริงพระองค์อัลลอฮฺได้ทำให้สัจธรรมปรากฏเหนือลิ้นและหัวใจของท่านอุมัร เขาคืออัลฟารูกผู้ซึ่งแยกแยะระหว่างสัจธรรมกับความเท็จ
บันทึกใน อัตตอบาก็อต อิบนุซะอฺด เล่ม 3หน้า 270
ข้าพเจ้า แปลกใจจริงๆว่านายยาซีนพอคราวที่อ้างหะดิษที่ว่าพวกอะฮฺลุลกิตาบเป็นคนตั้ง ชื่ออัลฟารูคแก่ท่านอุมัรเขาก็ไปนำมาจากหนังสือของอิบนุซะอฺด แต่พอหะดิษที่บอกว่าท่านนบีเรียกชื่อนี้แก่ท่านอุมัรเช่นกันจากตำราเล่ม เดียวกันทำไมนายยาซีนจึงไม่เอามานำเสนอ!!!? นี่แหละวิชามารทางวิชาการของพวกชีอะฮฺเขาล่ะนำเสนอแต่สิ่งที่ถูกใจและมี เนื้อหาประณามคนที่พวกมันเกลียด

หะดิษทั้งสองไม่ขัดแย้งกัน

ดัง ที่ได้กล่าวไปแล้วว่าต้นเหตุของการมอบฉายาอัลฟารูคแก่ท่านอุมัรนี้นเกิดขึ้น จากกรณีที่ชาวยิวกับชาวมุนาฟิกในมาดีนะฮฺได้มาหาท่านนบีเพื่อให้ตัดสินความ ระหว่างเขาทั้งสอง ซึ่งเมื่อท่านนบีได้ตัดสินไปตามความถูกต้องแล้วมุนาฟิกคนนั้นกลับไม่ยอมรับ แถมยังบ่ายเบี่ยงกล่าวว่าท่านนบีตัดสินไปอย่างไม่ยุติธรรมท่านอุมัรจึงลงมือ จัดการเขาด้วยดาบ ซึ่งจากเหตุการณ์ครั้งนี้นี่เองมลาอิกะฮฺญิบรีลได้กล่าวกับท่านนบีว่าอุมัร คืออัลฟารูคหรือผู้ที่แยกระหว่างสัจธรรมกับความมดเท็จ ซึ่งชื่อนี้ตัวท่านนบีเองก็เป็นคนเรียกท่านอุมัร และแน่นอนชาวยิวซึ่งเกี่ยวพันกับเหตุการณ์นี้ซึ่งได้ประจักษ์ถึงความเที่ยง ตรงของท่านอุมัรหากพวกเขาจะเรียกชื่อนี้แก่ท่านอุมัรเช่นกันก็ไม่ใช่เรื่อง เสียหายอะไร เพราะท่านอุมัรได้แสดงบทบาทอย่างสง่างามไว้แล้วอีกทั้งท่านนบีเองยังได้ รับรองชื่อนี้
ดังนั้นคงมีแต่พวกมุนาฟิกเท่านั้นที่ไม่ชอบชื่อนี้ของท่า นอุมัรเพราะพวกเขาถูกท่านอุมัรจัดการซะเสียคนไปเลย เออว่าแต่ท่านยาซีนของเราและนายยอมใหญ่ที่ไม่ชอบฉายานี้ของท่านอุมัร ทำไมท่านจึงเหมือนมุนาฟิกจัง?



นายยาซีน:
บท สรุป : ฉายานาม “อัศศิดดีก” และ “อัลฟารูก” ถูกเลือกสรรให้สมกับฐานภาพและเกียรติคุณอันสูงส่งเฉพาะของท่านอมีรุลมุอ์มิ นีน อะลี อิบนุอบีฏอลิบ (อลัยฮิสลาม) เท่านั้น ส่วนหะดีษหรือริวายะฮฺที่ชาวอะฮฺลิสสุนนะฮฺแอบอ้างว่าท่านเราะสูลุลลอฮฺ (ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะอาลิฮฺ) ได้ตั้งฉายานามทั้งสองนี้ให้กับอบูบักรฺกับอุมัรฺนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นการอุปโลกน์กุกันขึ้นมาในภายหลังทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฉายา “อัลฟารูก” ที่แอบ “แกะ” ออกจากตราของท่านอิมามอะลี (อลัยฮิสลาม) ไป “แปะ” หรือ “ฮะดียะฮฺ” เป็นของกำนัลให้กับท่านอุมัรฺนั้น ที่แท้ เป็นฝีมือของพวกยิวหรือไม่ก็พวกคริสต์ ทั้งนี้ ด้วยเป้าหมายหรือจุดประสงค์อะไรนั้น ท่านผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญานวินิจฉัยกันตามอัธยาศัยครับ


วิพากษ์:
ประเด็น เหล่านี้ได้วิพากษ์ชี้แจงกันไปหมดแล้ว ว่าฝ่ายที่พยายามแกะเอาฉายาของท่านอบูบักรและอุมัรไปแปะกับคนอื่นนั้นคือ ชีอะฮฺตัวดีนี่เอง และกรณียิวตั้งฉายาแก่ท่านอุมัรก็ได้ชี้แจงจนเห็นความกลับกลอกของนายยาซีนจน ล่อนจ้อนหมดแล้ว



นายยาซีน:
และ นี่คือส่วนเสี้ยวหนึ่งของการสร้างความแปลกปลอมให้กับอิสลาม สร้างอิสลามเก๊ขึ้นมาเพื่อทำลายอิสลามบริสุทธิ์ที่ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะสัลลัม) ได้วจนะไว้ในต่างกรรมต่างวาระมากมายว่า มาตรว่าประชาชาตินี้ได้ยึดมั่นในคัมภีร์อัลกุรฺอานและอิตระตีย์ อะฮฺละบัยตีย์ แล้ว พวกเขาจะไม่มีวันหลงทาง แต่เพราะชนส่วนใหญ่ต่างพากันผลักไสสิ่งหนักทั้งสอง หรือบางส่วน เอวังจึงเป็นไปด้วยประการฉะนี้แล


วิพากษ์:
ฝ่าย ที่สร้างความแปลกปลอมแก่อิสลามคือนายยาซีนจอมลวงโลกและลัทธิชีอะฮฺจอมโกหก นั่นเอง ส่วนคำอ้างว่าตนเองยึดมั่นในลูกหลานนบีนั้นขอตอบว่าโกหกที่สุด โกหกยังไงไปอ่านกัน
http://answeringrafidah.blogspot.com/2009/05/q2.html
 
 
นายยาซีน:
8 หมายเหตุ :- หลังจากบทความนี้ได้ถูกนำเสนอออกไป ปรากฏว่ามีทั้งเสียงตอบรับและเสียงคัดค้านเข้ามาอย่างมากมาย
เอา เฉพาะเสียงคัดค้านแล้วกันนะครับ เพียงแต่เป็นการคัดค้านแค่หะดีษบทแรกในบทความนี้ แสดงว่าหะดีษบทอื่น “ผ่าน” ดังนั้น จึงไม่ใช่ประเด็นปัญหาในแง่ความน่าเชื่อถือของบทความ


วิพากษ์ :
หะ ดิษทุกบทในบทความชิ้นนี้ที่นายยาซีนยกมาล้วนแล้วแต่ดออีฟหรือไม่ก็เก๊ทั้ง สิ้นดังที่เราได้วิพากษ์ไปแล้ว ซึ่งหะดิษที่พูดถึงฉายาอัศศิกหรือผู้สัตย์จริงที่ยิ่งใหญ่ของท่านอะลี ตามที่นายยาซีนได้ยกมาในช่วงครึ่งแรกของบทความทั้งหมดนั้นล้วนแล้วแต่เป็นหะ ดิษที่ถูกบันทึกจากต่างที่ต่างแหล่งกัน แต่ล้วนแล้วแต่มาจากของอิบาด อิบนุอับดิลละฮฺทั้งสิ้น ดังนั้นบทความนี้ทั้งหมดจึงไม่เหลือคุณค่าใดๆเลยทางวิชาการเพราะล้วนแล้วแต่ เป็นการอ้างหะดิษดออีฟ ซ้ำๆซากๆจากแหล่งต่างๆกันให้ดูน่าเชื่อถือเพราะฉะนั้นที่เราทำการวิจารณ์เฉ พาะหะดิษบทแรกก็เพราะบทอื่นๆก็มีสถานะเหมือนๆกันคือดออีฟ และหะดิษอื่นๆในบทความนี้ก็ “ไม่ผ่าน”


นายยาซีน:
อย่างไรก็ตาม ในเมื่อมีข้อคัดค้าน ก็จะขอตอบเท่าที่รู้ดังนี้
หะดีษที่ฝ่ายวะฮาบีย์คัดค้านคือ


วิพากษ์:

ผู้ ที่คัดค้านหาใช่วะฮาบีไม่ ท่านอย่ามั่วสิครับ แต่ผู้ที่คัดค้านคือปวงปราชญ์ผู้ทรงธรรมและเชี่ยวชาญในวิชาหะดิษจากฝ่ายซุน นะฮฺ ซึ่งแม้แต่ท่านอิหม่ามบุคอรีเองก็ยังเป็นผู้คัดค้าน หรือนายยาซีนคิดว่าท่านอิหม่ามบุคอรีคือวะฮาบีย์ด้วย? คนบ๊องตื้นเท่านั้นที่คิดเช่นนี้ได้ หรือว่ายุคสมัยนี้ “วาทกรรมวะฮาบีย์” ของเหล่าลัทธิรอฟิเดาะฮฺจะหมายถึงทุกคนที่เป็นศัตรูกับชีอะฮฺไม่ว่าจะด้าน ใดๆก็ตาม

นายยาซีน:

الصِّدِّيقُ الْأَكْبَرُ لَا يَقُولُهَا بَعْدِي إِلَّا كَذَّابٌ صَلَّيْتُ قَبْلَ النَّاسِ بِسَبْعِ سِنِينَ

سنن ابن ماجة ، ج1 ، ص 44 ، و البداية والنهاية ، ج3 ، ص 26 و المستدرك ، حاكم نيشابوري ، ج3 ، ص 112 وتلخيص ، تأليف ذهبي حاشيه ، و تاريخ طبري ، ج2 ، ص 56 ، والكامل ، ابن الاثير ، ج2 ، ص 57 و فرائد السمطين ، حمويني ، ج 1 ص 248 و الخصائص ، نسائي ، ص 46 سندي تمام روات ثقه ، و تذكرة الخواص ، ابن جوزي ، ص 108 و ....

โดยบอกว่าสะนัดหรือสายรายงานหะดีษนี้มีปัญหาที่ “อิบาด อิบนุอับดิลลาฮฺ” แต่เมื่อตรวจสอบแล้วก็ไม่ได้เป็นไปตามที่วะฮาบีย์กล่าวหา ทั้งนี้ เพราะ :-
ประการแรก หะดีษนี้ถูกบันทึกอยู่ในตำราของสุนนีย์เอง และสองในตำรานั้นก็อยู่ในสารบบของ “สิหาหฺสิตตะฮฺ” ที่แวดวงนักวิชาการสุนนีประทับตราว่า “เศาะหี๊หฺ – ถูกต้อง” ซะด้วย คือ “สุนันอิบนุมาญะฮฺ” และ “สุนันนะสาอีย์”



วิพากษ์:ขอพระองค์อัลลอฮฺทรงสังหารจอมลวงโลกอย่างนายยาซีนด้วยเถิด!!!! นาย ยาซีนหมกเม็ดโดยกล่าวว่าหะดิษบทนี้บันทึกอยู่ใน สิหาหฺสิตตะฮฺ หรือหนังสือ ศอเฮี๊ยฮ์ทั้งหก เพราะฉะนั้นหะดิษใดๆก็ตามที่ถูกบันทึกอยู่ในตำราทั้งหกนี้ต้องศอเฮี๊ยฮ์!!!!
นี่ คือข้อสรุปของจอมลวงโลกนามว่ายาซีนแห่งลัทธิชีอะฮฺเขาล่ะ อันที่จริงหนังสือที่ถูกถือว่า ศอเอี๊ยฮ์ จริงๆของฝ่ายซุนนีมีเพียง บุคอรีและมุสลิม เท่านั้น แต่ทั้งสองนี้ก็ยังไม่พ้นความผิดพลาดเล็กๆน้อยตามประสามนุษย์ เพราะยังมีหะดิษดออีฟหลุดเข้ามาบ้างประมาณ 2% (อ่านได้ในหนังสือ ซิลซิละฮฺอะฮะดิษอัฎฎอีฟะฮฺ ของเชคอัลบานี) ส่วนตำราอีก สี่เล่มที่เหลือเขาเรียกกันว่า สุนันครับ และไม่มีผู้รู้ซุนนีหรือแม้แต่คนเอาวามซุนนีจะเชื่อว่าหะดิษทุกบทในหนังสือ ทั้งหกนั้นซอเฮี๊ยฮ์ คงมีแต่ชีอะฮฺกระมัง อันที่จริงหนังสือทั้งหกเล่มนั้นเขาเรียกว่า “กุตตุบซิตตะฮฺ” หากจะมีอุลามาเรียกกันว่า “สิหาหฺสิตตะฮฺ” ก็มีความหมายในเชิงว่ามันเป็นหนังสือที่เชื่อถือได้โดยรวมๆ มิได้เรียกว่าซอเฮี๊ยฮ์ทั้งหมด ถ้าหากชีอะฮฺจะถือลุกไม้แบบนี้ผมก็จะขอบอกว่า ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะถือว่าว่ากุตตุบอัรบาอะฮฺ ของชีอะฮฺ ซอเฮี๊ยฮ์หมดได้ไหมเพราะอุลามาอ์ชีอะฮฺเองกล่าวว่า

الكافي والاستبصار والتهذيب ومن لا يحضره الفقيه , يعني الكتب الأربعة , متواترة مقطوع بصحة مضامينها , والكافي أقدمها وأعظمها وأحسنها وأتقنها
“หนังสือ อัลกาฟีย์, อัลอิสติบซ้อร, ตะฮฺซีบบุลอะฮฺกาม และมันลายะฮิฎุรุฮุลฟะกีฮฺ หรือที่เรียกว่ากุตุบ อัรบะอะฮฺ คือ (หนังสือที่ประมวลไปด้วยหะดีษ) มุตะวาติเราะฮฺ(หมายถึงหะดีษที่มีสายรายงานหลายสาย และเห็นพ้องต้องกันว่าซอเฮี๊ยฮฺ หรือพูดง่ายๆว่า ยิ่งกว่าซอเฮี๊ยฮฺ)โดยเฉพาะตำราอัลกาฟีย์ ที่เก่าแก่ที่สุด ยิ่งใหญ่ที่สุด ดีเลิศที่สุดและถูกต้องมากที่สุด!!! (อัลมุรอญะอาต หมายเลขที่ 110)

ถ้า ยึดตามมาตรฐานที่ว่าตำราทั้งสี่เล่มนี้ศอเฮี๊ยฮ์เราก็จะสามารถกล่าวได้ว่า การนิกะฮฺมุตอะฮฺที่ชาวชีอะฮฺโปรดปรานกันนั้นเป็นสิ่งฮะรอมจากหลักฐานต่อไป นี้
قال أمير المؤمنين صلوات الله عليه:
( حرم رسول الله صلى الله عليه وآله يوم خيبر لحوم الحمر
อะมีรุลมุมินีน กล่าวว่า ท่านรอซูลได้ห้ามในวันแห่งการพิชิตค็อยบัร ซึ่งการกินเนื้อลาและการนิกะฮฺมุตอะฮฺ
(หนังสือ อัตตะฮฺซีบ เล่ม 2 หน้า 186,อัลอิสติบซ็อร เล่ม 2 หน้า 142



قال: فاقبل عبدالله بن عمير فقال: يسرك أن نساءك وبناتك وأخواتك وبنات عمك يفعلن ؟ قال فأعرض عنه أبو جعفر حين ذكرنساءه وبنات عمه

"อับ ดุลเลาะฮฺ บิน อุมัยรฺ หันมา แล้วพูดว่า ท่าน(คืออิหม่ามบากิร อ.)ยินดีไหม ? ด้วยการที่บรรดาภรรยาของท่าน บรรดาบุตรสาวของท่าน บรรดาพี่น้องสาวของท่าน และบรรดาหลานสาวของท่าน ได้กระทำ(มุตอะฮฺ) ? ซุรอเราะฮฺ กล่าวว่า อบูญะฟัร (อิหม่ามบากิร ) จึงเบือนหน้าหนีขณะที่เขาได้กล่าวเกี่ยวกับ บรรดาภรรยา และบรรดาหลานของเขา (คือของอิหม่ามบากิร)

สรรหามาอ่านซะพี่บ่าวยาซีน
ฟูรู๊ อัลกาฟี เล่ม 2 หน้า หน้า42 อัต-ตะฮฺซีบ เล่ม 2 หน้า 1

وكان عليه السلام يوبخ أصحابه ويحذرهم من المتعة فقال: أما يستحي أحدكم أن يرى موضع فيحمل ذلك على صالحي إخوانه وأصحابه؟

และเช่นกันท่านอิมามญะอิฟัรเคยประนามและติเตียนสหายของท่านเกี่ยวกับการเล่นมุตอะฮฺ
สรรหามาอ่านซะ
ฟุรัวอฺกาฟี เล่ม 2 หน้า 44

ولما سأل علي بن يقطين أبا الحسن عليه السلام عن المتعة أجابه:

ما أنت وذاك؟ قد أغناك الله عنها
อะ ลี บินยักตีน ถามอบูฮะซันเกี่ยวกับมุตอะฮิ ท่านจึงได้ตอบว่า เจ้าจะได้ประโยชน์อะไรจากมันล่ะ แน่แท้อัลลอฮฺได้ทดแทนแก่เจ้าด้วยสิ่งที่ดีกว่า (หมายถึงการแต่งงาน)
สรรหามาอ่านนะ
ฟุรัวอฺ กาฟี เล่ม 2 หน้า 43

หะ ดิษเหล่านี้เป็นการประณามด่าทอและระบุว่ามุตอะฮฺหะรอม แต่ในขณะเดียวกันหนังสืออีกเล่มหนึ่งซึ่งเป็นส่วนหนึ่งจากกุตตุบอัรบาอะฮฺ ได้กล่าวว่าอุลามาอ์ผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของลัทธิชีอะฮฺนามว่า ชัยคฺซอดูก ได้กล่าวไว้ในตำรารวบรวมหะดีษของเขาชื่อว่า "มันลายะฮฺฏุรุฮุลฟะกีฮฺ" อันเป็นตำราขนานเอกรองจากอัลกาฟีย์ไว้ว่า

تمتع رسول الله صلى الله عليه واله وسلم قال: نعم
ครั้งหนึ่งอิมามศอดิกได้ถูกถามว่า "ท่านรอซูลเคยเล่นมุตอะฮฺหรือปล่าว" ท่านอิมามตอบว่า"ใช่"
ตรวจสอบหะดีษนี้ได้จาก
http://www.al-shia.com/html/ara/books/f ... /a156.html

เพราะ ฉะนั้นหากจะสรุปเอาจากหะดิษศอเฮี๊ยฮ์เหล่านี้สรุปได้ว่า การแต่งงานมุตอะฮฺเป็นเรื่องของคนที่ไม่พร้อมแต่งงานแต่อารมณ์ทางเพศสูงเลย หาวิธีเล่นมุตอะฮฺแก้ขัดไปก่อน แต่หะดิษชีอะฮฺบอกว่าท่านนบีเองก็เคยเล่นแล้วชีอะฮฺจะว่ายังไง มิหนำซ้ำหะดิษเหล่านี้กลับระบุว่าท่านนบีห้ามมุตอะฮฺแล้วแต่ทำไมท่านกลับ เล่นเสียเอง แล้วทำไมชีอะอฺทุกวันนี้จึงยังมุตอะฮฺอยู่อีก แล้วคุณยาซีนล่ะอยู่อิหร่านมานานได้มุตอะฮฺสักคนรึยัง?
จะเอาแบบนี้ใช่ไหม?



นายยาซีน:

عَنْ عَبَّادِ بْنِ عَبْدِ اللَّهِ قَالَ قَالَ عَلِيٌّ أَنَا عَبْدُ اللَّهِ وَأَخُو رَسُولِهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَأَنَا الصِّدِّيقُ الْأَكْبَرُ لَا يَقُولُهَا بَعْدِي إِلَّا كَذَّابٌ صَلَّيْتُ قَبْلَ النَّاسِ بِسَبْعِ سِنِينَ

سنن ابن ماجة ، ج1 ، ص 44 ، و البداية والنهاية ، ج3 ، ص 26 و المستدرك ، حاكم نيشابوري ، ج3 ، ص 112 وتلخيص ، تأليف ذهبي حاشيه ، و تاريخ طبري ، ج2 ، ص 56 ، والكامل ، ابن الاثير ، ج2 ، ص 57 و فرائد السمطين ، حمويني ، ج 1 ص 248 و الخصائص ، نسائي ، ص 46 سندي تمام روات ثقه ، و تذكرة الخواص ، ابن جوزي ، ص 108 و ....

โดย บอกว่าสะนัดหรือสายรายงานหะดีษนี้มีปัญหาที่ “อิบาด อิบนุอับดิลลาฮฺ” แต่เมื่อตรวจสอบแล้วก็ไม่ได้เป็นไปตามที่วะฮาบีย์กล่าวหา ทั้งนี้ เพราะ :-
ประการแรก หะดีษนี้ถูกบันทึกอยู่ในตำราของสุนนีย์เอง และสองในตำรานั้นก็อยู่ในสารบบของ “สิหาหฺสิตตะฮฺ” ที่แวดวงนักวิชาการสุนนีประทับตราว่า “เศาะหี๊หฺ – ถูกต้อง” ซะด้วย คือ “สุนันอิบนุมาญะฮฺ” และ “สุนันนะสาอีย์”


วิพากษ์: ประเด็นนี้ตอบไปแล้ว


นายยาซีน: ประการ ที่สอง อิบนุหับบาน ได้บรรจุนาม “อิบาด อิบนุอับดิลลาฮฺ” ในตำรา “ษิกกอต” ของเขา แสดงว่าในทัศนะของพวกเขากันเองก็ถือว่า “เตาษีก” เชื่อถือได้ :-
4268 عباد بن عبد الله الأسدي من أهل الكوفة يروى عن على روى عنه المنهال بن عمرو
الثقات ج 5 ص 141، اسم المؤلف: محمد بن حبان بن أحمد أبو حاتم التميمي البستي الوفاة: 354 ، دار النشر : دار الفكر - 1395 - 1975 ، الطبعة : الأولى ، تحقيق : السيد شرف الدين أحمد
الفواكه الدواني على رسالة ابن أبي زيد القيرواني ج 1 ص 104 ، اسم المؤلف: أحمد بن غنيم بن سالم النفراوي المالكي الوفاة: 1125 ، دار النشر : دار الفكر - بيروت – 1415



วิพากษ์: นอกจาก นายยาซีนจะนิยมโกหกหมกเม็ดแล้ว ยังอ่อนหัดไม่เดียงสาจริงๆในเรื่องหะดิษของฝ่ายซุนนี นายยาซีนกล่าวว่าท่านอิบนุฮิบบานกล่าวรับรองหะดิษนี้ ทั้งๆที่คนที่รู้หะดิษพื้นฐานก็พอจะรู้ว่า ท่านอิบนุฮิบบานได้ชื่อว่า “มุตตะซาฮิลฟิตตัศเฮี๊ยฮ์” หรือผู้ที่สะเพร่าในการตัดสินหะดิษกล่าวคือหะดิษใดที่ท่านตัดสินไปว่าศอ เฮี๊ยฮ์กลับดออีฟในทัศนะของอุลามาอ์หะดิษส่วนมาก
การให้ความเชื่อถือของ ท่านอิบนุหิบบานเพียงผู้เดียวต่อผู้รายงานหะดีษท่านใด ตามปกติจะไม่เป็นที่ยอมรับของนักวิชาการ เพราะมองว่า ท่านอิบนุหิบบานสะเพร่า (تَسَاهُلٌ)ในการตัดสินความถูกต้องของหะดีษหรือให้ความเชื่อถือผู้รายงานที่ นักวิชาการส่วนใหญ่กล่าวว่า เป็นบุคคลมัจญฮูล คือ ไม่มีใครรู้จักหรือทราบประวัติ ...
ท่านเช็คอัล-เกาษะรีย์ ได้กล่าวในหนังสือ “อัล-มะกอลาต” หน้า 185 ว่า ...
وَتَسَاهُلُ الْحَاكِمِ وَابْنِ حِبَّانٍ فِى التَّصْحِيْحِ مَشْهُوْرٌ
“ความสะเพร่าของท่านอัล-หากิมและท่านอิบนุหิบบานในการตัดสินความถูกต้องของหะดีษ เป็นที่รับรู้กันอย่างแพร่หลาย”
ดังนั้นหากเรื่องแค่นี้นายยาซีนยังอ่อนหัดขนาดนี้ก็ไม่ควรจะมาทำสู่รู้อาเหล่มกว่าวะฮาบีหรอกครับ



นายยาซีน: นอกจากนี้ “ดารฺก็อฏนีย์” ก็ยอมรับเช่นกันว่าริวายะฮฺจาก “อิบาด อิบนุอับดิลลาฮฺ” ที่เขานำมาอ้างนั้น ถูกต้อง :-
العلل الواردة في الأحاديث النبوية ج 4 ص 23 ش 414 ، اسم المؤلف: علي بن عمر بن أحمد بن مهدي أبو الحسن الدارقطني البغدادي الوفاة: 385 ، دار النشر : دار طيبة - الرياض - 1405 - 1985 ، الطبعة : الأولى ، تحقيق : د. محفوظ الرحمن زين الله السلفي



นายยาซีน: ส่วน ที่อุละมาอ์วะฮาบีย์ออกมาคัดค้านสะนัดของบุคคลผู้นี้ (อิบาด อิบนุอับดิลลาฮฺ) ก็เนื่องมาจากการที่เขาได้รายงานหะดีษเกี่ยวกับฟะฎออิลหรือความประเสริฐของ ท่านอมีรุลมุอ์มินีน อะลี อลัยฮิสลาม อย่างมากมายนั่นเอง ซึ่งสวนทางกับความรู้สึกของราชวงศ์อุมัยยะฮฺและผู้ที่ดำเนินรอยตาม “ชะญะเราะตุลมันอูนะฮฺ” (ตระกูลที่ถูกสาปแช่งจากอัลลอฮฺและท่านนบี) จนถึงขนาดอุละมาอ์บางส่วนเปลี่ยนมัซฮับให้เขาเป็น “ชีอะฮ์” ไปก็มี


วิพากษ์:

นี่ คือทางออกอันน่าสมเพทของนายยาซีน เมื่อหมดปัญญาที่จะยัดเยียดหะดิษแก่ฝ่ายซุนนีแล้ว ก็มาลูกไม้ตื้นๆว่าวะฮาบีเกลียดชังท่านอะลี ดังที่ได้กล่าวชี้แจงไปแล้วว่าหะดิษศอเฮี๊ยฮ์ที่พูดถึงความประเสริฐของท่า นอะลีในฝ่ายซุนนีมีมากมาย ที่ซุนนีตัดสินหะดิษเหล่านี้ไปก็เพราะว่ามันดออีฟจริงๆตามหลักวิชาการ มิได้ตัดสินด้วยอารมณ์ และปราศจากการเล่นลูกไม้โกหกนับไม่ถ้วนอย่างของเชคยาซีน ฝ่ายซุนนีหะดิษใดผู้รายงานเชื่อถือไม่ได้ก็ว่าไปตามนั้น แม้จะถูกใจแค่ไหนก็ตามเช่น หะดิษที่บอกว่าซอฮาบะฮฺเปรียบเสมือนดวงดาวซึ่งใครปฏิบัติตามพวกเขาจะได้รับ ทางนำ ก็ถูกตัดสินว่าดออีฟตามหลักวิชาหะดิษโดยอุลามาอ์ส่วนมากด้วย หรือท่านจะบอกว่าวะฮาบีเกลียดซอฮาบะฮฺด้วย? พวกเราไม่ใช่กลุ่มแนวทางใช้อารมณ์อย่างกับพวกชีอะฮฺที่อะไรก็ตามถ้าถูกใจไม่ ว่าหะดิษมั่วขนาดไหนก็รับแต่หากไม่ถูกใจหรือเป็นอันตรายต่อชีอะฮฺหะดิษถูก ต้องขนาดไหนก็ปฏิเสธ ไม่ต้องดูอะไรมากหนังสืออัลกาฟีย์ของชีอะฮฺ สมัยหนึ่งที่ชีอะฮฺยังเป็นกบในกะลาพวกเขาก็ประกาศว่า
เมาลา มุฮัมมัดอะมีน อิสตัรอะบะดีย์ กล่าวว่า
وقد سمعنا من مشائخنا وعلمائنا أنه لم يصنف في الإسلام كتاب يوازيه أو يدانيه
และ เราได้ยินคำกล่าวของอุลามาผู้ทรงคุณวุฒิของชีอะฮฺที่ว่า ในโลกอิสลามไม่มีตำราเล่มใดเสมอเหมือนอัลกาฟีย์อีกแล้ว !!!!!!!!!!!!!!!!!!(มุก็อดดิมะฮฺอัลกาฟีย์ หน้า 27)
แต่พอหลังจากที่ ชีอะฮฺออกจากกะลามาหลังปฏิวัติอิหร่าน พอหนังสือเล่มนี้ถูกโจมตีจากฝ่ายอุลามาอ์ซุนนีเข้ามากๆ(เพราะมีบันทึกแต่ เรื่องเหลวไหล) ก็พากันออกมาตัดสินว่าในอัลกาฟีย์มีฮะดีษฎออีฟ (الضعيف อ่อนแอ) ถึง 9,485 ฮะดีษ หรือคิดเป็น 2.5 ใน 3 ทั้งๆที่ปากเคยประกาศว่าหนังสือเล่มนี้ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้วในโลกอิสลาม แต่กลับมีฮะดิษดออีฟมากมายมหาศาล
นี่แหละศาสนาแบบใช้อารมณ์ตัดสินเอาตัวรอดไปวันๆ

อบูบักรอัศศิดดีกในตำราชีอะฮฺ!!!
ต่อไปนี้จะขอนำเสนอหลักฐานที่ระบุว่าอบูบักรมีฉายาว่าอัศศิดดีกจากตำราของชีอะฮฺเอง
ในหนังสือตัฟซีรอัลกุรอานของชีอะฮฺที่ชื่อว่า “มัจมัวอฺอัลบะยาน” ภายใต้ซูเราะฮฺ อัลลัยลฺ อายะฮฺ ที่ 17-20 ซึ่งมีความหมายดังนี้

[92:17]และส่วนผู้ที่ยำเกรงยิ่งนั้นจะถูกปลีกตัวให้ห่างไกลจากมัน
[92:18]ซึ่งเขาบริจาคทรัพย์สินของเขาเพื่อขัดเกลาตนเอง
[92:19]และที่เขานั้นไม่มีบุญคุณแก่ผู้ใดที่บุญคุณนั้นจะถูกตอบแทน
[92:20]นอกจากว่าเพื่อแสวงความโปรดปรานจากพระเจ้าของเขาผู้ทรงสูงส่งเท่านั้น
ในตัฟซีรได้กล่าวว่า
قال أن الآية نزلت في أبي بكر لأنه اشترى المماليك الذين أسلموا مثل بلال و عامر
บรรดาโองการเหล่านี้ถูกประทานลงมาแก่ท่านอบูบักร

ในตัฟซีรเล่มเดียวกันในซูเราะฮิอันนูรอายะฮฺที่ 22 ที่ว่า
[24:22] และผู้มีเกียรติและผู้มั่งคั่งในหมู่พวกเจ้าอย่าได้สาบานที่จะไม่ให้ (ความช่วยเหลือ) แก่ญาติมิตร และคนยากจน และผู้อพยพในหนทางของอัลลอฮ์ และพวกเขาจงอภัยและยกโทษ (ให้แก่พวกเขาเถิด) พวกเจ้าจะไม่ชอบหรือที่อัลลอฮ์จะทรงอภัยให้แก่พวกเจ้า และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ
قيل إن قوله «و لا يأتل أولوا الفضل منكم» الآية نزلت في أبي بكر
ประโยค ที่ว่า และผู้มีเกียรติและผู้มั่งคั่งในหมู่พวกเจ้าอย่าได้สาบานที่จะไม่ให้ (ความช่วยเหลือ) ในโองการนี้นั้นถูกประทานลงมาแก่ท่านอบูบักร
ในตัฟซีรอัลกุมมีกล่าวว่า
حدثنى ابى عن بعض رجاله رفعه إلى ابى عبدالله قال لما كان رسول الله صلى الله عليه وآله في الغار قال لفلان كانى انظر إلى سفينة جعفر في اصحابه يقوم في البحر وانظر إلى الانصار محتسبين في افنيتهم فقال فلان وتراهم يارسول الله قال نعم قال فارنيهم فمسح على عينيه فرآهم فقال له رسول الله انت الصديق
จาก ตัฟซีรเล่มนี้เราสามารถสรุปได้ว่า สมญานาม อัศศิดดีก ที่ว่านี้ ถูกแต่งตั้งแก่ท่านอบูบักรโดยตัวของท่านนบีเองจากเหตุการณ์ที่ท่านอบูบักรไป ซ่อนตัวในถ้ำพร้อมกับท่านนบีเพียงสองคนเพื่อหลบหลีกพวกมุชริก
تفسير القمي الجزء1صفحة290

ผม เองขอยอมรับตรงๆว่าหลักฐานที่ยกมาจากตำราชีอะฮฺนั้นไม่รู้เหมือนกันว่า ชีอะฮฺจะตัดสินว่าดออีฟหรือปล่าว แต่ถึงแม้ไม่รู้ผมเองก็ไม่เคยจะแสดงตนสู่รู้กว่าอุลามาอ์ชีอะฮฺเหมือนกับที่ ท่านยาซีนทำกับอุลามาอ์ซุนนะฮฺกรณีท่านอิบนุฮิบบาน แต่สิ่งที่ผมอยากทำเหมือนกับนายยาซีนก็คือ หากชีอะฮฺจะตัดสินหะดิษที่ผมยกๆไปจากตำราชีอะฮฺกรณีอัศศิดดีกว่าดออีฟนั้น ผมก็อยากจะขอบอกว่า
“ส่วนที่อุละมาอ์รอฟิเดาะฮฺออกมาคัดค้านสะนัดของ บุคคลผู้นี้ ก็เนื่องมาจากการที่เขาได้รายงานหะดีษเกี่ยวกับฟะฎออิลหรือความประเสริฐของ ท่าอบูบักร รอฎิฯ อย่างมากมายนั่นเอง ซึ่งสวนทางกับความรู้สึกของยิวนามว่าอับดุลลอฮฺ อิบนุสะบะอฺและผู้ที่ดำเนินรอยตาม จนถึงขนาดอุละมาอ์บางส่วนเปลี่ยนมัซฮับให้เขาเป็น “ซุนนี” ไปก็มี”

ก็เหมือนกับที่ท่านยาซีนเคยกล่าวมานั่นแหละ ผมว่ามันก็เจ๊าๆกันไปยุติธรรมดีนะ
ผม ว่านะครับ คุณยาซีนถ้าเขียนบทความทั้งอ่อนหัดและโกหกได้ขนาดนี้ อย่าอยู่เลยครับเมืองกุมที่อิหร่านนะครับ กลับมาช่วยพี่ชายขายปลาท่องโก๋หน้ามัสยิดกลางตลาดเก่าดีกว่าครับ เพราะถ้าจะโกหกไม่ต้องไปถึงอิหร่านหรอก อยู่ประเทศไทยก็โกหกได้เยอะแยะบานตะไทแล้วครับ


โองการดีๆมอบแด่นายยาซีนและนายอัยยูบ ดังนี้




61. ดังนั้นผู้ใดที่โต้เถียงเจ้าในเรื่องของเขา หลังจากที่ได้มีความรู้มายังเจ้าแล้ว ก็จงกล่าวเถิดว่า ท่านทั้งหลายจงมาเถิด เราก็จะเรียกลูก ๆ ของเรา และลูกของพวกท่านและเรียกบรรดาผู้หญิงของเรา และบรรดาผุ้หญิงของพวกท่านและตัวของพวกเรา และตัวของพวกท่านและเราก็จะวิงวอนกัน (ต่ออัลลอฮ์) ด้วยความนอบน้อม โดยที่เราจะขอให้ละฮ์นัดของอัลลอฮ์พึงประสบ แก่บรรพาผุ้ที่พูดโกหก
 
 93. และโอ้กลุ่มชนของฉันเอ๋ย! พวกท่านจงกระทำตามแนวทางของพวกท่าน ฉันก็จะกระทำ(ตามแนวทางของฉัน)(*1*) แล้วพวกท่านก็จะรู้ว่าผู้ใดที่การลงโทษจะประสบแก่เขา จะทำให้เขาอดสูและผู้ใดที่เขาเป็นคนโกหก และพวกท่านจงคอยเฝ้าดูเถิด(*2*) แท้จริงฉันก็ร่วมกับพวกท่านคอยเฝ้าดูอยู่ด้วย”

(1) เสมือนกับจะกล่าวว่า พวกท่านจึงยึดถือตามแนวทางปฏิบัติในการปฏิเสธศรัทธาและการเป็นศัตรูต่อไป เถิด ฉันก็จะยึดมั่นอยู่ในแนวทางของอิสลามและการอดทนขันติ
(2) จงคอยดูบั้นปลายแก่งการกระทำของพวกท่าน

วัสสลาม

ขนาดไปทำฮัจญ์มันยังคิดจะมุตอะฮฺอีก!!!





ผมได้เข้าไปอ่านเจอในเว็บไซต์ของอุลามาอ์ใหญ่ชีอะฮฺจากอิรัคชื่อว่า อะลี ซิสตานี เข้าได้ตอบฟัตวาเกี่ยวกับมุตอะฮฺไว้ว่า

السؤال: ماذا تعني كلمة التمتع في عمرة أو حج التمتع ؟

الجواب: يعني العمل الذي يتضمن جواز التمتع بالنساء في أثناءه

ถาม: อะไรคือความหมายของคำว่า "ตะมัตตัวอฺ" ในระหว่างการทำอุมเราะฮฺหรือฮัจญ์ชั่วคราว?

ตอบ: มันหมายถึงการเล่นมุตอะฮฺกับสาวๆ

ซุบฮานัลลอฮฺลัทธิกระหายมุตอะฮฺแม้กระทั่งบนแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์และอยู่ในช่วงแห่งการแสวงบุญมันยังไม่เว้น

คำถามสำหรับชีอะฮฺ
1.นี่คือแบบอย่างอันงดงามที่ชีอะฮฺต้องทำให้ได้สักครั้งในชีวิตใช่ไหม
2.ท่านเคยทำแบบนี้แล้วหรือยัง
3.ถ้ายังไม่เคยแล้วเมื่อไหร่จะทำและจะทำกี่ครั้ง

ฟัตวานี้เซฟมาจากเว็ปไซต์ของเจ้าตัวเองเลย ตรงคำถามที่3 หากใครเซฟหน้าเวปเก็บไว้เป็นหลักฐานได้จะเป็นการดี

http://www.sistani.org/local.php?module ... =5&cid=336

อยาตุลลาตซิสตานีประกาศลั่น : การอัดถั่วดำตามแนวทางรอฟิเฎาะฮฺไม่ถือว่าเป็นสิ่ง “หะรอม” !!


อยาตุลลาต ซิสตานี


ตื่นตะลึงไปทั่วโลก เมื่ออภิมหาปราชญ์ของชาวรอฟิเฎาะฮฺชีอะฮฺจากประเทศอิรัค อย่างอยาตุลลาต อะลี ซิสตานี ประกาศฟัตวาทางเพศที่ระบุถึงข้ออนุมัติในการเสพย์สุขทางทวารหนักระหว่างสามี ภรรยา!!

สิ่งที่จะเขียนต่อไป นี้หาใช่ข้อใส่ไคล้หรือการบิดเบือนใดๆของข้าฯเลย หากแต่เป็นการนำเสนอข้อเท็จจริงจากคำฟัตที่ปรากฏอยู่ในเว็ปไซต์ของอุลามาอ์ รอฟิเฎาะฮฺผู้นี้ ดังที่ท่านผู้อ่านกำลังเห็นอยู่ในรูปภาพข้างล่างนี้คือการเซฟหน้าเวปไซต์ของ พวกเขาเพื่อเป็นหลักฐานมัดตัวชีอะฮฺที่คิดจะแก้เกี้ยวปฏิเสธทั้งหลาย


Q42) Is anal intercourse permissible?

A42) Permission is bound to wife’s agreement, but it is strongly undesirable.

คำถามที่ 42 : การร่วมรักกันทางทวารหนักนั้นเป็นที่อนุมัติหรือไม่?

ตอบ : การอนุญาตให้กระทำหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการตกลงกับภรรยาว่านางต้องการรึปล่าว? แต่ทว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์อย่างมาก


Q51) What is the ruling on anal sex? Is a Moslem allowed to have anal sex?

A51) Based on the widely held opinion of Shiite scholars this act (anal sex) is strongly Makrooh (undesirable, what is not Haram to do, but it is better to avoid). There is no objection to the couple getting pleasure from the entire body of one another. But it should be taken into consideration that some actions are beneath human dignity.

คำถามที่ 51 : อะไรคือข้อตัดสินต่อการร่วมเพศทางทวารหนัก? บรรดามุสลิมได้รับการอนุญาตให้ร่วมเพศทางทวารหนักไหม?

ตอบ : ตามทัศนะที่ได้ถือกันอย่างกว้างขวางในหมู่นักปราชญ์ชีอะฮฺแล้ว การร่วมเพศทางทวารหนักนั้นเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจ(มักรุฮฺ)ค่อนข้างมาก แต่มันเป็นสิ่งที่ไม่ต้องห้ามโดยสิ้นเชิงในการที่จะกระทำมันแต่ก็ดีกว่าหาก จะไม่ทำมัน และไม่มีข้อคัดค้านใดๆสำหรับคู่สามีภรรยาที่จะเสพย์สุขจากเรือนร่างทุกส่วน ของคู่รัก แต่มันจะต้องถูกนำไปสู่การพิจารณาว่าการกระทำบางอย่างนั้นเป็นสิ่งที่อยู่ ภายใต้เกียรติของมนุษย์

Q52) When a woman is in her period, can she have anal intercourse?

A52) If wife is consenting to it, it is permissible but it would be extremely abominable.

คำถามที่ 52: ในยามที่สตรีอยู่ในช่วงมีประจำเดือน นางสามารถมีเซ็กส์ทางทวารได้ไหม?

ตอบ : หากว่าภรรยานั้นยินยอมที่จะกระทำมันมันก็เป็นสิ่งที่อนุญาต แต่มันก็เป็นพฤติกรรมที่น่ารังเกียจมาก

ข้อมูลจาก : http://www.alulbayt.com/rulings/11.htm

สรุป: จากฟัตวาเหล่านี้นั้นเราสามารถสรุปได้เลยว่า พวกรอฟิเฎาะฮฺนั้นมองการสังวาสสมสู่ทางทวารหนักเป็นเพียงสิ่งที่เข้าข่ายฮุ กุ่ม มักรุฮฺ หรือน่ารังเกียจเท่านั้น คือกระทำไปแล้วไม่มีบาปความผิดใดๆเพราะการมีเซ็กส์กันในรูปแบบดังกล่าวตาม เพสวิภีของรอฟิเฎาะฮฺชีอะฮฺแล้วไม่ใช่เรื่องที่หะรอม ดังนั้นในการมีประจำเดือนของสตรีชีอะฮฺหรือการมุตอะฮิก็ตามคู่นอนของนางก็ สามารถร่วมเพศทางทหารหนักได้

อย่าง ไรก็ตามมุมมองทางเพสต่อการทำเว็จมรรคเหล่านี้ส่วนทางกับอิจมาอ์ของชาวซุนนะ ฮฺทั้งปวงที่ถือว่าการกระทำลิวาฏหรือสังวาสทางประตูหลังนั้นเป็นสิ่งต้อง ห้ามดังใจความของอัลกุรอานที่ว่า

23 : 5. และบรรดาผู้ที่พวกเขาเป็นผู้รักษา (ไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ของ) ทวารของพวกเขา

คำ ว่าจากทวารของพวกเขาหมายถึงรักษาความบริสุทธิ์ไว้จากสิ่ง ที่เป็นหะรอม หมายถึงสิ่งไม่อนุญาตให้กระทำ เช่น การซินา การเสพสุขทางทวารหนัก (ที่เรียกกันว่า อัลลิวาฎ) และการเปิดเผยอวัยวะเพศที่พึงสงวน

ดัง นั้นผู้ใดแปรเปลี่ยนสิ่งหะรอมมาเป้นหะล้าลอย่างจงใจเขาผู้นั้นจึงเป็นกา เฟร และผู้ใดเชื่อว่าการสังวาสทางบั้นท้ายคือสิ่งอนุมัติพวกเขาก็เป็นกาเฟรเช่น กัน! วัลลอฮุอะอฺลัม

เมื่อรอฟิเฎาะฮฺลืมตะกียะฮ์.mpg




ฟัตวาอนุญาติให้ฆ่าชาวซุนนะฮฺของพวกชีอะฮฺอัรรอฟิเฎาะฮฺ!!!!



พี่น้องทั้งหลาย ท่านเคยทราบบ้างไหมว่าในขณะที่เราร้องไห้ดุอาร์แก่ชาวปาเลสไตน์และมุญาฮิดีนที่ถูกอเมริกาและยิวฆ่าแกงนั้น เราลืมใครอีกไหม? ในขณะที่เราจัดเสวนาว่าด้วยเรื่องปัญหาปาเลสไตน์และ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ถึงการละเมิดสิทธิมนุษชนเรากลับแกล้งทำเป็นหูหนวกตาบอด ไม่รู้ว่าใครที่ชั่วกว่ายิวอเมริกาเสียอีก!!! ในขณะที่เรากำลังเรียกร้องชาวโลกตระหนักถึงปัญหาในปาเลสไตน์ อัฟกานิสถาน และอื่นๆที่มีมุสลิมถูกกดขี่รังแก เรากลับลืมไปเสียแล้วว่าที่อิรัค อันเป็นแผ่นดินที่ผลิตอุลามาอ์ระดับโลกของชาวมุสลิมอย่างท่านนัวอฺมาน บินษาบิต หรือท่านอิมามอะบูหะนีฟะฮฺเจ้าสำนักนิติศาสตร์ฮะนะฟีย์แต่พี่น้องมุสลิม มากมายกลับถูกฆ่าแกงในดินแดนแห่งนี้ และมิหนำซำยังถูกฆ่าแกงจากกลุ่มบุคคลที่สร้างภาพตัวว่าเป็นมุสลิมยิ่งไปกว่า นั้นในบ้านในเมืองเราก็ยังปรากฎคนกลุ่มนี้เดินเคียงข้างผู้หลักผู้ใหญ่ มุสลิม "หน้าโง่" บางคนที่นิยมเล่นการเมืองและหาเครือข่ายเพื่อสร้างบทบาทในสังคม คนกลุ่มนี้สามารถขอช่องเพื่อทำทีวีในรายการโทรทัศน์ช่วงเดือนรอมฎอนจากสำนัก จุฬาราชมตรีได้ คนกลุ่มนี้สามารถทำวารสารนิสาและตูบาอันเป็นวารสารเปิดเผยความงามทางเพศ อย่างโจ๋งครึ่มโดยเอาพวกผู้ใหญ่และมุสลิมมะฮฺหน้าโง่ในสังคมมุสลิมไปขึ้นปก ถ่ายแบบและเป็นที่ปรึกษากองบรรณาธิการได้ คนกลุ่มนี้สามารถขอศูนย์กลางอิสลามแห่งประเทศไทยจัดงานละศีลอดได้ คนกลุ่มนี้สามารถตั้งองค์กรช่วยเหลือผู้ประสบภัยภาคใต้ได้และพยายามเข้ามามี บทบาทในการเมืองสกปรกที่ภาคใต้ ไม่ว่าจะใน ศอบตหรืออื่นๆ คนกลุ่มนี้พยายามจะตั้งพรรคการเมืองในนามพรรคมุสลิมโดยดึงผู้ใหญ่ในสังคมมุ สลิมโง่ๆบางคนไปเป็นลิ่วล้อได้ คนกลุ่มนี้พยายามเสแสร้งเรียกร้องความเป็นเอกภาพในสังคมมุสลิมและผลิตวาทะ กรรมทำลายอิสลามว่า "วะฮะบีย์" จนเป็นผลให้มุสลิมงี่เง่าบางคนหันมาต่อต้านกลุ่มคนที่ต่อสู้กับชนเหล่านี้ โดยอ้างว่ามุสลิมที่ยืนหยัดต่อสู้กับพวกชีอะฮฺนั้นสร้างความแตกแยก ไม่สนใจปัญหาใหญ่ของโลกมุสลิมเช่นปาเลสไตน์ ละเลยปัญหาสังคมวัยรุ่นมุสลิมเหลวไหล ชีอะฮฺคือพี่น้องนะไปว่าเขาทำไมและข้อหามากมายอื่นๆอันเป็นบั่นทอนกำลังใจ ของผู้ต่อสู้รุ่นใหม่ๆ และที่สำคัญคนกลุ่มนี้พยายามจะยึดครองโลกมุสลิมทุกวิถีทางตามสถานการณ์ของใน แต่ละประเทศจะเอื้ออำนวยไม่ว่าจะเผยแพร่ลัทธิของตนด้วยหนังสือ และเงินตลอดจนล่อลวงวัยรุ่นด้วยหลักการ สังวาสชั่วคราว"มุตอะฮฺ"จนเป็นเหตุให้วัยรุ่นมุสลิมอ่อนหัดหลายคนน้อมรับ หลักการข้อนี้และดำเนินการตอบสนองความอยากกันอย่างโจ๋งครึ่ม ดังปรากฎให้เห็นมากมายตามหอพักหน้า ม.รามคำแหง หรือแม้แต่กระทั่ง มหาลัยที่มุสลิมเป็นชนส่วนมากอย่าง มอ.ปัตตานีก็ตาม!!!

คนกลุ่มนี้คือชีอะฮฺอัรรอฟิเฎาะฮฺ
- กลุ่มชนผู้เคียดแค้นชิงชังซอฮาบะฮฺของท่านนบีเป็นที่สุดด้วยการเขียนตำรา พิสูจน์ว่ากลุ่มชนยุคท่านนบีมีแต่คนเลวทั้งสิ้นแม้กระทั่งภรรยาของผู้ประกาศ ศาสนาเหลือเพียงคนไม่ถึง 100 คนจากแสนคนทั้งหมด!!!
- กลุ่มชนผู้เสี้ยมสอนว่านบีมุฮัมมัดทำงานศาสนาล้มเหลว
- กลุ่มชนผู้ที่ทำลายอัลกุรอานได้ร้ายกาจกว่ายิวและอเมริกา ด้วยการอธิบายอัลกุรอานอย่างบิดเบือนและเขียนหนังสือยืนยันว่าอัลกุรอานถูก เปลี่ยนแปลงแก้ไขไปแล้ว
- กลุ่มชนที่ทำลายอัลหะดิษและซุนนะฮฺต่างๆ
- กลุ่มชนที่สอนว่านบีมีเมียเป็นหญิงกาเฟรแถมภรรยายังทรยศหลังจากท่านนบีตายไปโดยลอบไปทำซินากับชายอื่น
- กลุ่มชนที่สอนว่าพ่อตาและลูกเขยของท่านนบีคือมหาโจรที่ปล้นตำแหน่งคอลีฟะฮฺจากท่านอะลี
- กลุ่มชนที่เชื่อว่าอัลลอฮฺไม่รู้ล่วงหน้าและยกมนุษย์ 12 คนเป็นภาคีต่อพระองค์
- กลุ่มชนที่เชื่อว่าเฮโรอีนขายได้ เกย์เป็นได้ สังวาสในเดือนรอมดอนได้
- กลุ่มชนเหล่านี้คือผู้ที่นักวิชาการมุสลิมทั้งหมดเอกฉันท์ว่าเป็น "กาเฟร" และตลบตะแลงที่สุดยิ่งกว่ายิว
และสารพัดความชั่วอื่นๆของพวกเขา

แต่ ก็น่าสมเพทที่ว่าเมื่อชนกลุ่มนี้กระจายตัวอยู่มากมายในสังคมมุสลิมและดึงคน เอาวามไปสู่ลัทธิแนวทางของตน ก็ไม่ปรากฎผู้หใญ่ในบ้านในเมืองของเราจะจริงจังต่อต้านพวกนี้กันแต่อย่างใด เลย ยิ่งไปกว่านั้นกลับสนับสนุนส่งเสริมร่วมงานกับคนกลุ่มนี้ด้วยการแปลหนังสือ เล่นการเมือง เปิดเว็บไซต์ให้คนเหล่านี้ด่าทอบรรดาซอฮาบะฮฺอย่างหน้าไม่ละอายเพราะคิดโง่ๆ ว่าคนกลุ่มนี้คือ นิกาย ในอิสลามเท่านั้น!!!ทั้งที่คนกลุ่มนี้เชื่อว่ามุสลิมทั้งหมดคือกาเฟร!!!!!



จุดยืนของชีอะฮฺอัรรอฟิเฎาะฮฺจากอดีต-ปัจจุบัน ความอาฆาตอมตะนิรันด์กาล

1.ซัยยิด อัลญะซาอิรีย์

ชาย ผู้นี้คืออุลามาอ์รอฟิเฎาะฮฺนามอุโฆษและเป็นรากฐานแก่แนวทางของรอฟิเฎาะฮฺ เขาได้ฟัตวาไว้ในหนังสือของเขาที่ชื่อว่า "อัลอันวารอันนัวอฺมานี" หน้าที่ 307 ซึ่งเราได้ทำการถ่ายแสกนมาให้ท่านได้รับชมกัน





"เป็นสิ่งที่อนุญาตสำหรับชาวชีอะห์ที่จะฆ่าชาวซุนนีหรือปล้น เพราะพวกนี้เป็นกาเฟรฮัรบี!!!!!!!"


ยิ่งไปกว่านั้นในประเทศอิรัคอันเป็นดินแดนที่ร้อนระอุไปด้วยไฟแห่งสงครามจากการรุกรานของอเมริกา
อุ ลามาอ์ชีอะฮฺอัรรอฟิเฎาะฮฺกลับร่วมมือกับฝ่ายอเมริกาอย่างน่าเจ็บใจและที่ น่าปรบมือให้แก่ผู้ใหย่ในสังคมมุสลิมก็คือ คำพูดที่ว่า "ชีอะฮฺคือพี่น้องของเราแต่วะฮะบีย์คือลัทธิทำลายอิสลาม"!!!!!

คนซ้าย: อับดุลอะซิสอัลหะกีม ผู้นำศาสนาของพวกชีอะฮฺอัรรอฟิเฎาะฮฺในอิรัคปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นประธาณสภาปฏิวัติอิสลามแห่งอิรัค



 อับดุลอะซิส กับ เด็กในบัญชาของรัฐอิสลามปลอมแห่งอิหร่านผู้ประกาศตัวจะทำสงครามกับอเมริกาแต่ไม่เคยรบจริงๆสักที

คนซ้าย:อะลี คอมาเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน กับอับดุลอะซิส อัลหะกีม เด็กปั้นของชีอะฮฺอัรรอฟิเฎาะฮฺ





คลิปวิดีโอแบ่งผลประโยชน์ระหว่างชีอะฮฺกับอเมริกา คลิกดูกันได้ที่




2. ฟัตวาจากนักการศาสนาชีอะฮฺในอิรัคให้ฆ่าซุนนี

กรุณาดูคลิปแถลงการณ์ฟัตวาฆ่าชาวซุนนีได้ที่ ซึ่งชายผู้ประกาศฟัตวาในวิดีโอนี้คือกลุ่มของนายมุคตะดาร์ ซ็อดรฺ และอับดุลอะซีส 



ในวิดีโอดังกล่าวผู้ ประกาศฟัตวาได้กล่าวไว้ว่า "พวกวะฮะบีย์ (ชาวซุนนะฮฺ) คือกลุ่มชนที่อัลลอฮฺสาปแช่งและท่านมุฮัมมัด ศอดิก ศ็อดรฺ(อุลามาอ์ใหญ่ของชีอะฮฺ) ได้ฟัตวาไว้ว่าพวกวะฮะบีย์นั้นสกปรกโสโครก(นะยิส) และพวกท่านจงฆ่าพวกวะฮะบีย์สกปรกเหล่านั้นให้หมดเถิด


ส่วนอีกคนหนึ่งชื่อว่า เชคยาซิร อัลหะบีบ ได้ฟัตวาเรียกร้องให้ชาวชีอะฮฺทำลายมัสยิดของพวกซุนนี!!!!!
ดูได้ที่


http://www.dailymotion.com/video/xxbyo_ ... yyyyy_news


 

ดุอาที่พวกชีอะฮฺสาปแช่งแก่ท่านอบูบัก ท่านอุมัร และลูกสาว

ดุอาฮฺว่าด้วยเจว็ดทั้งสองของชาวกุเรช

เรา ลองมาดูกันที่บทดุอาฮฺของพวกชีอะฮฺ ที่พวกมันได้ทำขึ้นมา เรียกว่า “ดุอาฮฺว่าด้วยเจว็ดทั้งสองของชาวกุเรช” โดยที่เจว็ดทั้งสองของชาวกุเรชนั้น พวกเขาได้หมายถึง ท่านอบูบักร และ ท่านอุมัร รอฎิยัลลอฮุอันฮุม แต่ให้ตายสิ(ผู้แปล)เมื่อใครก็ตามที่ถามพวกเขา เขาก็จะตอบมาว่า “ปล่าวเราไม่ได้ประณามศอฮาบะฮฺ”(อย่างที่อุลามะอฺชีอะฮฺเมืองไทยกล่าว) ถ้าอย่างนั้นก็อยากจะให้ทุกคนดูนี่กัน..................
คำแปล
“โอ้ อัลลอฮฺโปรดประทานความสันติแด่ท่านนบีมุฮัมหมัด และวงศ์วานทายาทของท่าน และสาปแช่งแก่เจว็ดรูปปั้นทั้งสองของชาวกุเรช(อุมัร แอบูบักร), พ่อมดทั้งสองของชาวกุเรช ผู้นำทั้งสองที่อธรรมของชาวกุเรช ผู้ที่ปลิ้นปล้อนทั้งสองของชาวกุเรช และลูกสาวของพวกเขาทั้งสอง(ท่านหญิงอาอีชะฮฺ และท่านหญิงฮัฟเซาะฮฺ) ผู้ที่ไม่เห็นด้วยแด่คำสั่งของพระองค์(ท่านอบูบักรและท่านอุมัร) ผู้ที่ปฏิเสธวะหฺยูของพระองค์ ผู้ที่ปฏิเสธความดีของพระองค์ ผู้ที่ทำในสิ่งแตกต่างจากศาสนาของพระองค์ ผู้ที่เปลี่ยนคัมภีร์ของพระองค์ , ผู้ที่รักศัตรูของพระองค์ ผู้ที่ลังเลกับการตัดสินของพระองค์ ผู้ที่ต่อต้านกับคำสั่งของพระองค์ ผู้ที่ไม่ศรัทธาต่อหลักฐานของพระองค์ ผู้ที่ทำให้คนที่พระองค์รักโกรธเคือง ผู้ที่เป็นส่วนหนึ่งของศัตรูของพระองค์ ผู้ที่นำความเสียหายให้แก่ประเทศของพระองค์ และฉ้อโกงบ่าวของพระองค์ โอ้อัลลอฮฺโปรดสาปแช่งแด่เขาทั้งสองคน และผู้ที่ตามพวกเขา และผู้ที่รักพวกเขา และคนของพวกเขา และผู้ที่ส่งเสริมพวกเขา และผู้ที่เป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา และผู้ที่เชื่อฟังและปฏิบัติตามพวกเขา......................................”
นั่น คือบทดุอาอฺที่ว่าด้วยเจว็ดทั้งสองของชาวกุเรช ซึ่งชาวชีอะฮฺ12ได้ให้ความสำคัญแก่ดุอาอฺนี้อย่างยิ่ง และเช่นกัน อุลามะอฺของพวกเขาบอกว่ามันคือสิ่งที่ถูกต้อง โดยที่มีอุลามะอฺของเขามากมายที่ได้กล่าวไว้เกี่ยวกับดุอาอฺบทนี้ ตัวอย่างเช่น : Al-Kaf'ami, Al-Kashani, Al-Nouri Al-Tubrisi, Asadallah Al-Haeiri, Murtada Hussain, Mandhoor Hussain, Al-Karkey, Al-damad Al-Hussaini, Al-Majlisi, Al-Tasaturi, Abu Al-Hassan Al-Amily, Abdullah Shubbar, Al-Haeiri, Mirza Habeeballah และอีกมากมาย และทั้งหมดนั้นก็เป็นอุลามะอฺระดับสูงกันทั้งนั้น และโคมั้ยนี่ ก็ได้เห้นพ้องกับดุอาอฺบทนี้เช่นกัน ในหนังสือชื่อว่า” Tuhfat Al-Owam Maqbool” และเหล่านี้คืออุลามะอฺของเขาที่เห็นด้วยกับดุอาอฺบทนี้ 1. Ayatulallah Sayyed Muhsin Hakeem Al-Tabtiba'ei 2. Ayatulallah Sayyed Abu Al-Qasim Al-Kho'ei 3. Ayatulallah Sayyed Rouhallah Khomenie 4. Ayatulallah Sayyed Mahmoud Al-Shamroudi 5. Ayatulallah Sayyed Muhamed Kazim Shari'atmdar 6. Ayatulallah Sayyed Ali Al-Naqi Al-Naqari….



Scan and Translation taken from ansar.org
http://shiaexposed.blogspot.com/2006/08 ... html#links
แปลโดย Azzohabie

โคไมนี่ประกาศลั่นพระเจ้าของพวกซุนนีไม่ใช่พระเจ้าของรอฟิเฎาะฮฺ!




พี่น้องท่านผู้อ่าน ที่รัก เราๆและท่านๆทั้งหลายเคยคิดอยู่เสมอว่าซุนนะฮฺ-ชีอะฮฺ จะเป็นศัตรูกันยังไงก็น่าจะยังศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้าคนเดียวกันที่เราเรียก กันว่า "อัลลอฮฺ" อย่างไรก็ตามนับแต่นี้ไปความเชื่ออ่อนต่อโลกแบบนี้ต้องถูกปัดทิ้งไปเมื่อ ผู้นำสูงสุดของลัทธิชีอะฮฺอย่าง โคไมนี่ ได้ออกประกาศิตมาแล้วว่าพระเจ้าของซุนนีกับพระเจ้าของชีอะฮฺมันเป็นคนละองค์กัน

โคไมนี่ได้กล่าวไว้ในหนังสือ"กัชฟุลอัสร็อร" ที่เขาได้เขียนขึ้นเพื่อสอนสั่งเหล่ารอฟิเฎาะฮฺว่า







"พวกเรา(ชีอะฮฺ)เคารพ และยอมรับแต่เพียงพระเจ้าที่เพียบพร้อมไปด้วยการกระทำที่มีพื้นฐานมาจากความ มีเหตุผลที่เป็นรูปธรรมเท่านั้น และเป็นพระเจ้าผู้ซึ่งไม่บัญชาหรือทำสิ่งใดที่ขัดแย้งกับหลักความเชื่อใน ด้านเหตุผล พวกเรา(ชีอะฮฺ) ไม่เคารพ สักการะพระเจ้าในแบบที่สร้างรัฐไว้เพื่อทำประกอบการดีและความยุติธรรมแต่ต่อ มากลับทำลายสิ่งเหล่านั้นเสียเองโดยการมอบอำนาจแก่คนเลวอย่าง ยะซีด มุอาวิยะฮฺ และอุษมาน!!!!!"


จากตัวอย่างของคำพูดสาวหาวอันชัดแจ้งข้างต้น เป็นที่ประจักษ์แจ้งเห็นจริงแล้วว่า ผู้นำในตำนานของรอฟิเฎาะฮฺผู้นี้ได้ปฏิเสธพระผู้เป็นเจ้าที่ชาวซุนนะฮฺทุกคนเชื่อถือศรัทธากันมาตลอดระยะเวลาพันสี่ร้อยกว่าปี  กล่าวคือประวัติศาสตร์ได้เป็นประจักษ์พยานยืนยันถึงการขึ้นครองอำนาจทางการเมืองของ ท่านอุษมาน ท่านมุอาวิยะฮฺ และ ยะซีดลูกชายของพวกเขา ในฐานะคอลีฟะฮฺ ซึ่งสำหรับชาวซุนนะฮฺแล้ว เราศรัทธาว่าการอำนาจทางการเมืองที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้นล้วนแล้วแต่เป็นไปตามพระประสงค์แห่งการกำหนดสภาวการณ์ของพระองค์อัลลอฮฺตะอาลาทั้งในเรื่องที่ดีและไม่ดีทั้งสิ้น ดังคำกล่าวที่ว่า ไม่มีการเคลื่อนไหวของผงธุลีใดบนผืนจักรวาลนี้เว้นแต่จะเป็นไปตามการกำหนดของพระองค์!

ท่านชัยคฺอุษมาน อัลคอมิส (ขออัลลอฮฺทรงปกป้องท่าน) หนึ่งในปราชญ์ซุนนะฮฺที่กระชากหน้ากากแห่งความสามานย์ของรอฟิเำาะฮฺในโลกยุคปัจจุบันได้กล่าวอธิบายการกำหนดของอัลลอฮฺว่า 








คำถามสำหรับชีอะฮฺ
1.  พระเจ้าของรอฟิเฎาะฮฺมีหลายองค์ใช่ไหม จึงสามารถเลือกเอาที่ชอบทิ้งอันที่เกลียดได้แบบนี้
2. ซุนนีเชื่อว่าการที่มุอาวิยะฮฺ,ยะซีดและท่านอุษมานขึ้นดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเพราะตักดีร        ของอัลลอฮฺ แต่รอฟิเฎาะฮฺบอกว่าพระเจ้าองค์นี้รอฟิเฎาะฮฺไม่เอางั้นถามว่าพระเจ้าของชีอะฮฺไปหลบ อยู่ที่ไหน แล้วทำไมพระเจ้าของชีอะฮฺจึงไม่สามารถตักดีรได้ตามที่ต้องการ
3. โคไมนี่พูดถูกต้องแล้วหรือคนที่เชื่อต่างจกโคไมนี่ถูก ใครถูก ใครผิด ใครตะกียะฮฺ บอกมาหน่อยอยากรู้
4.โคไมนี่พูดแบบนี้ โคไมนี่ถูกฮุกุ่มกาเฟรไหม หรือว่า ชีอะฮฺที่ไม่เชื่อแบบนี้ต่างหากจะเป็นกาเฟร
5. ชีอะฮฺที่สนับสนุนหรือรักโคไมนี่คือชีอะฮฺที่ไม่เอาพระเจ้าที่ตักดีรให้คนเหล่านั้นมีอำนาจทางการเมืองใช่ไหม


อยากให้ชีอะฮฺมาช่วยๆตอบตามที่ถามไป
หรือพี่น้องอาจจะส่งคำถามนี้ไปที่อีเมลส์ข้างล่างนี้เพื่อสอบถามหาคำตอบก็ตามแต่สะดวกครับ
vuyood2007@hotmail.com
fix_minsar@hotmail.com
http://www.yomyai.igetweb.com

อิมามของรอฟิเฎาะฮฺอาเหล่มถึงเจ็ดหมื่นภาษา!!!!!!!!!!!!!

 
 
หนึ่ง ในความเชื่อ "อันพิสุทธิ์" จากมโนคติอันยิ่งใหญ่ของชาวรอฟิเฎาะฮฺได้ถูกฉายภาพให้เห็นจากตำราอัน "ศอเฮี๊ยฮฺ" ที่ชาวรอฟิเฎาะฮฺในบ้านเมืองเราชอบกล่าวเท็จว่า "ฎออีฟ" อยู่เสมอๆเพื่อกลบเกลื่อนและ "หลอกลวง" คนซื่อๆที่ไล่ตามความตลบตะแลงของพวกเขาไม่ทัน ตำราที่ว่าดังกล่าวนี้ก็คือ "อัลกาฟีย์" ที่เคยถูกท่านชัยคฺฟัยฎุลกะชานี ฟัตวาไว้ว่า "ไม่มีข้อบกพร่อง" มาแล้ว และเราก็พบคำสอนอันแปลกประหลาดจากตำราเล่มนี้ดังนี้

5 – أحمد بن محمد ومحمد بن يحيى، عن محمد بن الحسن، عن يعقوب بن يزيد، عن ابن أبي عمير، عن رجاله، عن أبي عبدالله عليه السلام قال: إن الحسن عليه السلام قال: إن لله مدينتين إحداهما بالمشرق والاخرى بالمغرب، عليهما سور من حديد وعلى كل واحد منهما ألف ألف مصراع وفيها سبعون ألف ألف لغة، يتكلم كل لغة بخلاف لغة صاحبها وأنا أعرف جميع اللغات وما فيهما وما بينهما، وما عليهما حجة غيري وغير الحسين أخي.

อะฮฺ มัดอิบนุมุฮัมมัด และมุฮัมมัด อิบนุยะฮฺยา ได้รายงานจากมุฮัมมัดอิบนุลหะซันจากยะอฺกู๊บอิบนุยะซีด จากอิบนุอบูอุมัยรฺ จากผู้คนของเขาจากอบูอับดุลลอฮฺ อลัยฮิสลาม ซึ่งไว้ดังนี้ : อัลหะซัน อลัยฮิสสลาม ได้กล่าวว่า และสำหรับพระองค์อัลลอฮฺนั้นทรงมี 2 เมืองคือ เมืองแห่งทิศตะวันออกและทิศตะวันตก เมืองทั้งสองนี้มีอาณาเขตล้อมรอบพวกมันซึ่งได้ถูกสร้างขึ้นมาจากธาตุเหล็ก และแต่ละอันของมันนั้นมีถึงล้านประตู และในเมืองดังกล่าวได้มีภาษาที่ใช้กันอยู่ถึง เจ็ดหมื่นภาษา!!!และฉันเข้าใจภาษาเหล่านั้นทั้งหมด

(จากหนังสือ "อัลกาฟีย์" เล่ม 1 หน้า 462 หะดีษหมายเลขที่ 5 )

สถานะหะดีษ : ศอเฮี๊ยฮฺ ตราจทานโดย อัลลามะฮฺเชคอัลมัจลิซีย์ ใน "มิรอะตุลอุกูล" เล่ม 5 หน้า 357


แต่แม้ว่าหะดีษจะซอเฮี๊ยฮฺแค่ไหน เชื่อเหลือเกินว่าชาวรอฟิเฎาะฮฺในไทยก็คงตอบแบบเดิมๆว่า "ฎออีฟ" อีกตามเคย!?
เพราะ เราคือชีอะฮฺที่ต้องตะกียะฮฺ!!?และอุลามะอฺชีอะฮฺในไทยของเราเป็นลูกหลานนบี "ของแท้" เพราะฉะนั้นจึงเจ๋งกว่าผุ้รู้อิหร่านแน่นอน?????